Translate

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

Kirby's story of star ep 12 : รีเซ็ท

     เช้าวันนี้เป็นเช้าที่สดใส
     สายลมเย็นที่พัดผ่านหน้าต่างลงมาในห้องเล็กๆที่มีเตียง โต๊ะ และเครื่องใช้ครบครัน เดือนนี้เป็นเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงสิ้นฤดูหนาว
     นี่เป็นเวลาเดือนครึ่งแล้วหลังจากที่เรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งที่มีข่าวว่าเขาเป็นคนที่สามารถล้างบาปได้ และสามารถต่อกรกับเมดเทอร์ ผู้นำองค์กรลับที่ตำรวจสากลตามล่าตัวเกิดขึ้น หลังจากนั้น ข่าวนี้ได้แพร่สะพัด แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบไปเพราะหลายคนเชื่อว่าเป็นแค่การลักพาตัวและนักข่าวสร้างข่าวให้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น
     มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ความจริงของเรื่องนี้ และพวกเขาก็เป็นคนใกล้ชิดของเด็กคนนั้น
     เด็กชายคนนั้นคือเคอร์บี้
     เคอร์บี้เลือกที่จะเงียบเอาไว้ เพราะเขาอยากใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป เขาออกจากโรงพยาบาลมาได้หนึ่งเดือนเต็มๆ เมื่อเขากลับไปเรียนอีกครั้ง เขาก็เริ่มรู้ถึงว่าเขาต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากว่านี้ เขาจึงเลือกที่จะเรียนให้ดีขึ้นเพื่อชดเชยเวลาครึ่งเดือนที่เขานอนที่โรงพยาบาล
     ครูหลายคนชื่นชมเขาที่ผลการเรียนดีขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงกลายเป็นคนที่เก่งในสายตาของหลายคน แต่เขาก็ไม่ลืมคนที่ด้อยกว่า เขาเข้าไปช่วยหลายครั้งหลายหน ทำให้บางคนไม่ชอบในตัวเขาเพราะพวกเขาอิจฉาที่เคอร์บี้นั้นเป็นทั้งคนที่มีความสามารถและเก่ง จึงมีเรื่องกันบ้าง แต่เคอร์บี้ก็รักษาความนิ่งไว้ได้ เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกขั้น
     เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนที่แล้ว
     เคอร์บี้เดินทางไปฝึกงานที่ร้านปังมาม่า เขาหวังเพียงว่าจะได้กลับไวในตอนนั้น ซึ่งต่อมามีจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของเขา เขาเจอกับเมต้าไนท์ที่ข้างร้านขนมปังในช่วงที่พายุจะเข้า เขาจึงได้ช่วยและคุยกันบ้าง เขาไม่รู้ว่าเมต้าไนท์เป็นใคร มาจากไหน ไม่กี่วันต่อมา เขาก็เจอดีดีดี ลูกคุณหนูที่มีบาปแห่งความตะกละ เมื่อถึงคราวนี้เคอร์บี้ได้วาพ์บสตาร์มาครอบครอง และล้างบาปให้ดีดีดีได้สำเร็จ พร้อมกับที่เขาได้รู้เรื่องของบาปทั้งห้า
     ต่อมาพี่ชายฝาแฝดของเมต้าไนท์ได้เข้ามาที่ร้านขนมปังเพื่อมาตามเมต้าไนท์กลับ ซึ่งเคอร์บี้ล้างบาปให้พวกเขาทั้งคู่ที่เป็นบาปแห่งการมีตัวตนและความแค้นไม่สำเร็จ เมต้าไนท์นั้นหมดกำลังใจไปในทันทีและมัวแต่โทษตัวเอง ทางเดียวที่สามารถแก้ได้คือการให้เขานั้นต้องหลุดพ้นด้วยตัวเอง ซึ่งต่อมาดีดีดีกับพ่อบ้านเอสโซ่พาเขาไปหาพี่ชายฝาแฝดที่ถูกคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจ เมต้าไนท์เป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้พี่เขาสิ้นเชิง เขาวิ่งหนีกลับมาที่ร้านพร้อมกับอาการที่ไม่สบาย แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นเขาออกจากวังวนแห่งความสิ้นหวัง นั่นก็คือพี่ของเขา แม้ว่าสถานการ์ณรอบข้างจะเป็นอย่างไร พี่ก็คอยปกป้องเขาเสมอมา และเขาก็สามารถหลุดออกมาได้ หลังจากนั้นพี่ชายของเขาก็หลุดออกตามกันมาได้ในที่สุด
     ไม่นานเคอร์บี้ก็ได้ถูกจับตัวไปและเกือบถูกฆ่าตายโดยบานดาน่าตัวปลอม ซึ่งบานดาน่าตัวจริงนั้นได้เผาผ้าที่มีบาปแห่งความริษยาทิ้งไปพร้อมกับได้ล้างบาปหลังจากที่ตัวปลอมนั้นได้สลายไป
     ผ่านมาอีกช่วงหนึ่ง เคอร์บี้ล้มป่วยเพราะฝืนทำงานเนื่องจากมีอาการเครียดทางจิตใจ มิโดริน้องสาวของเขาได้มาหาในช่วงนั้นพอดี และเธอก็ติดบาปแห่งความเดียวดายโดยนาฬิกาทรายที่เธอซื้อมาเพื่อจากตกแต่งบ้าน เคอร์บี้จึงฝืนอีกครั้งเพื่อนำวาพ์บสตาร์มาทำลายนาฬิกาทรายและล้างบาปให้น้องสาวของเขาพร้อม
     เมื่อเขาเตรียมตัวจะกลับไปยังเกาะ เรือที่เขาไปนั้นได้ล่วงเข้าไปในเกาะลึกลับ และทำให้เคอร์บี้จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพื่อช่วยซากากิ เพื่อนของเขาที่อ้างว่าเป็นคนที่ล้างบาปได้ เพราะเหตุนั้นเองที่เคอร์บี้เริ่มหมดศรัทธาในชีวิตของตัวเองเนื่องจากเขาต้องเห็นเขาตายต่อหน้าเขาเพื่อมาช่วยเขา พอกลับมาที่ชายฝั่งอีกครั้ง เขายิ่งได้รับแรงกดดันจากนักข่าว และเขาตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด
     ดีพเอ็นด์ เอไอที่เคอร์บี้ช่วยเอาไว้จากเกาะลับได้เข้ามาที่ห้องของเคอร์บี้ที่เขานอนอยู่และได้เข้าไปยังส่วนลึกในจิตใจของเคอร์บี้ เพื่อค้นหานอร์มอล ตัวตนที่เจ็ดของเคอร์บี้ สุดท้ายแล้วดีพเอ็นด์ได้รู้ว่านอร์มอลนั้นคือเพื่อน เขาต้องการเพื่อน เคอร์บี้จึงขอเป็นเพื่อนกับเขา และเคอร์บี้คิดว่านี่เป็นแค่ฝัน ดีพเอ็นด์จึงบอกว่านี่คือเรื่องจริง เคอร์บี้ตัดสินใจว่าเขาจะทิ้งชีวิตของเขาไป ดีพเอ็นด์รีบเตือนเขาบอกว่า แล้วเพื่อนของเขาที่ต้องรับภาระแทนล่ะ เคอร์บี้จึงคิดได้และกลับไปยังโลกแห่งความจริง เลือกที่จะไม่ปิดกั้นตัวเองจากความทรงจำอันเลวร้ายเพราะว่าเขาต้องใช้ชีวิตต่อไปแม้ว่าต้องลำบากมากเท่าไหร่ก็ตาม
     ส่วนทางดีพเอ็นด์ก็เลือกที่จะปลีกตัวไประยะหนึ่งเพื่อเรียนรู้โลกให้มากกว่านี้
      วันนี้เป็นวันที่โรงเรียนจะประกาศผลสอบ และประกาศโรงเรียนที่นักเรียนแต่ละคนจะเข้าสมัครเพื่อเรียนต่อ โดยตามความสนใจของแต่ละคน เคอร์บี้เลือกที่จะเรียนที่โรงเรียนนี้ทันที เพราะว่าที่ผ่านมาเขามัวแต่ลำบากเรื่องที่เกินกว่าเด็กชั้นป.6จะรับไหว เขาจึงไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อยว่าจะเข้าเรียนที่ไหน
     "ผมไปก่อนนะแม่"เคอร์บี้เอาขนมปังคาบไว้ที่ปาก สะพายกระเป๋าเป้สีเหลือง และเอาขนมปังออกจากปาก"ต้องฟังปัจฉิมนิเทศด้วยสิ น่าจะนานแฮะ...."
     "จ้า อย่าไปก่อเรื่องอีกล่ะ ล่าสุดได้ข่าวว่าพวกเด็กเกเรหาเรื่องลูก แล้วลูกก็เอาหนังสือฟาดหน้าเขานี่"
     "โธ่แม่ ผมแค่ป้องกันตัว มินำซ้ำพวกนั้นก็จะต่อยผมด้วย"เคอร์บี้เสียงอ่อยลง"ผมแค่ขยันเรียนขึ้นมาอีกหน่อยถึงกับมีคนหมั่นไส้เลยเหรอ"
     "อาจจะเป็นเพราะว่าลูกเป็นคนที่ไม่เหมือนใครด้วยมั๊ง"แม่ของเคอร์บี้ตอบกลับมา"ลูกก็รู้ว่าข่าวมันเร็ว พวกเขาก็อิจฉาลูกเท่านั้น แต่แม่รู้ว่าลูกเองก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้นี่นา"
     "ครับ ผมก็แค่อยากใช้ชีวิตปกติเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อกันนะ....งั้นคราวนี้ผมไปจริงละ"
     เคอร์บี้เดินออกจากบ้านไป แม่ของเขามองดูลูกชายของตัวเองด้วยสายตาที่อบอุ่น
     "เป็นเพราะดาวตกดวงนั้นที่เห็นตอนที่เขาเกิดรึเปล่านะ... "
     ..........
     "เคอร์บี้! นายต้องไม่เชื่อแน่เลย!"
     เพื่อนของชั้นลากชั้นเข้าไปดูที่บอร์ดประกาศลำดับสายชั้น คะแนนเหล่านี้จะรวมจากคะแนนสอบของเทอมที่สองทั้งหมดโดยไม่หารอะไรเลย ซึ่งถือว่าคนไหนที่ได้คะแนนเยอะ โอกาสที่จะได้ห้องดีๆก็มีสูง
     "...หา?"
     ชั้นไล่มองแล้วมองอีกก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
     ชั้นเนี่ยนะ ที่หนึ่งของสายชั้น
     "สุดยอดไปเลย!"
     "ดูสิๆ นั่นไงเขา"
     "สมกับเป็นคนที่ล้างบาปได้"
     สมกับเป็นคนที่ล้างบาปได้...ทำไมชั้นถึงเกลียดคำนั้นจัง ทั้งที่เป็นคำชมแต่มันกลับแทงไปถึงส่วนลึกของจิตใจ ช่างมันเถอะ
     ไม่อยากเชื่อ เรื่องจริงใช่มั๊ย อย่าล้อเล่นนะ
     โรงเรียนจะมีงานปัจฉิมนิเทศซึ่งนักเรียนที่ได้คะแนนสอยสูงสุดของรุ่นนั้นจะได้มาพูดเล่าถึงเรื่องราวประสบการ์ณและโรงเรียนจะเตรียมคำถามมาถามคนเหล่านั้น ชั้นจึงต้องเตรียมตัวเพื่อขึ้นไปพูด ส่วนแรกประธานนักเรียนจะพูด ต่อมาก็เป็นผู้อำนวยการ สุดท้ายก็เป็นนักเรียนที่ได้คะแนนสอบสูงสุด
     จะถามอะไรชั้นกันนะ
     "ตอนนี้ก็ไปที่หอประชุมกันเถอะ! นายเองก็เตรียมคำพูดเอาไว้เลยนะ"
     ..........
     ตอนนี้ผู้อำนวยการก็พูดจบแล้ว ทางสภานักเรียนก็เรียกตัวชั้นต่อขึ้นไปทันที ชั้นเริ่มแอบกังวลนิดๆแล้วสิ
     "ต่อไป ขอเชิญเคอร์บี้ นักเรียนที่มีคะแนนสอบสูงสุดในปีนี้ขึ้นมาได้เลยค่ะ"
     เสียงปรบมือดังขึ้นมาเรื่อยๆ ชั้นเดินขึ้นไปด้วยความเกร็ง แต่ก็ข่มมันเอาไว้ด้วยสีหน้าที่สดใส
     "มีอะไรจะพูดก่อนมั๊ยค่ะ"
     "ครับ ก็.....ผมรู้สึกตกใจนิดหน่อยนะ...ไม่สิ มากเลยล่ะตอนที่ผมรู้ว่าผมได้ที่หนึ่งของสายชั้น มีความรู้สึกหลายๆอย่างเข้ามาด้วย แต่ก็นะ ผมไม่ได้พยายามแข่งเพื่อเป็นที่หนึ่ง ผมพยายามเพื่อที่จะเอาชนะตัวเองในอดีตเท่านั้นเอง"
     "ค่ะ เรามีคำถามนะคะ"ประธานนักเรียนพูดต่อ"มีความรู้สึกอย่างไรต่อเหตุการ์ณที่ผ่านมาตลอดช่วงที่ฝึกงานคะ"
     "สนุกดีนะครับ ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้เจอประสบการ---"
     "ไม่ใช่ค่ะ เราหมายถึงช่วงที่คุณเป็นคนที่ล้างบาปได้"
     ชั้นถึงกับนิ่งไปทันที ชั้น...ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มาก
     "ว่ายังไงคะ"
     "นั่นสิ เราก็อยากรู้"
     "เป็นคนที่ทำแบบนั้นได้คงจะสุดยอดเลย"
     "มันก็แค่อวดเก่งเท่านั้นแหล่ะ"
     "ชั้นว่าเค้ารับภาระมาหนักไปนะ"
     เสียงซุบซิบดังขึ้นทั่วหอประชุม ทุกคนต่างพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา รึว่าประธานนักเรียนจะพยายามกดดันชั้นให้ตอบ
     ได้ข่าวลือมาว่าประธานนักเรียนแต่ละรุ่นจะกดดันคนที่ขึ้นมาพูดในหอประชุม เพื่อให้ทำให้ทำอะไรไม่ถูกและต้องอับอายเพราะประธานนักเรียนจะเอามาพูดเสียหาย ไม่นึกว่าจะจริง
     แต่ชั้น...ไม่ยอมเป็นแบบนั้นหรอก
     "งั้น...คุณประธานนักเรียนลองมาเป็นผมดูสิ...."ชั้นพูดขึ้น"สมมุติว่าคุณเป็นผม ถ้าเจอเหตุการ์ณแบบนั้นคุณจะทำยังไงล่ะ"
     "ก็หนีไง ไม่อยากลำบากนี่นา"
     "แต่นั้น....มันเป็นการหนีความรับผิดชอบนี่?"
     "ว่าไงนะ!"
     "ผมเลือกที่จะเผชิญหน้าแต่คุณกลับจะหนี ทำไมใจไม่กล้าเลยล่ะ เรื่องปากดีนี่คุณใจกล้าจังนะ ทำไมโรงเรียนถึงยังให้อยู่ตำแหน่งนี้เนี่ย"ชั้นพูดประชดเขาต่อ"เอาเถอะ ผมจะบอกให้ฟังละกัน ในตอนแรก ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นผม ผมไม่ทำมันได้ไหม แต่เมื่อผมเห็นคนที่มีบาปเหล่านั้นติดตัว ก็ทำให้ผมอยากช่วยเขา ถ้าเขาติดอยู่แบบนั้น เขาก็จะเป็นแบบนั้นตลอดกาล ผมจึงเลือกที่จะเผชิญหน้า ผมยอมรับว่าในช่วงท้ายๆที่ผมฆ่าตัวตายก็เพราะคิดว่าหมดหน้าที่ และอยากจะหนีเหมือนกัน ไม่อยากเห็นคนที่สละชีวิตเขามาช่วยผม แต่แล้วก็มีคนหนึ่งที่อยู่ในความฝันบอกผมว่า ถ้าผมจากไป พวกเขาต้องรับผิดชอบแทนผม ซึ่งผมเนี่ยก็ไม่อยากที่จะให้พวกเขาต้องรับผิดชอบแทนผมแน่นอน ผมจึงกลับมา สิ่งที่อยากบอกก็คือ แม้ว่าสิ่งที่ได้มามันจะยิ่งใหญ่จนเราอยากจะหนี แต่สุดท้ายแล้วคนที่จะรับผิดชอบมันก็คือเรา ฉะนั้นแม้ว่าจะหนีไป มันก็ตามเรา นอกเสียจากว่าเราจะสะสางมันไปเอง"
     ประธานนักเรียนยืนกัดริมฝีปากทันที
     "ใครที่ไม่อยากเป็นแบบประธานนักเรียน ที่เอาแต่บอกว่าจะช่วยพัฒนาโรงเรียนแต่สุดท้ายกลับเป็นแบบนี้ ก็ลองคิดดูนะว่าตัวเองมีอะไรที่มันดี หรือว่ามีอะไรเราต้องรับผิดชอบบ้าง ใหญ่เล็กเท่าไหนไม่สำคัญหรอก"
     ทุกคนที่อยู่จุดนั้นต่างมองมาที่ประธานนักเรียน
     "แก!"ประธานนักเรียนเอาแจกันดอกไม้ที่วางไว้ที่โต๊ะถือเอาไว้
     ชั้นที่ปกติเห็นแบบนั้นต้องเหวอเอาไว้ก่อนเดินไปข้างหน้าเธอ เธอมองมาถือแจกันด้วยมือที่สั่น ทุกคนตื่นตระหนก ทำอะไรไม่ถูก เธอวิ่งมาพร้อมยกแจกันขึ้นเหนือหัวและเตรียมเอาลง
     ชั้นเอามือข้างขวารับมือของเธอ ส่วนมือซ้ายเอาแจกันออก เธอมองด้วยความมึนงงปนโกธรสุดขีด และล้มลง
     "...ทำได้ไง...เมื่อกี๊"
     "ความลับ"
     ชั้นบอกว่าเป็นแค่ความลับ ความจริงแล้วช่วงที่ชั้นพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ คุณฟูมุบอกชั้นว่า
     "อยากเรียนเรื่องการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมั๊ย"
     ชั้นตอบว่าอยากทันที คุณฟูมุเริ่มจากการฝึกข้อเท้าของชั้นให้ยืดยุ่นได้ตามใจชอบ และต่อด้วยการเคลื่อนสลับไปมา เธอบอกว่าการฝึกนี้มีแค่ตำรวจสากลไม่กี่คนที่ทำได้ และความยืดยุ่นของร่างกายชั้นนั้นสูงมากจึงลองฝึกกับชั้นดู หลังจากนั้นคุณฟูมุก็ฝึกชั้นจนชั้นสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วจนคนทั่วไปมองตามแทบไม่ทัน สามารถขยับไปมาได้เร็วแต่ชั้นก็ต้องพยายามทำตัวตามปกติเพราะว่ามันจะกินแรงชั้นพอควร เวลาเรียนวิชาพละชั้นก็ใช้แรงตามปกติด้วย เพราะว่ามันจะโกงเพื่อนเกินไป
     "ชั้น...อิจฉาน่ะสิ ที่เธอ..."
     ประธานนักเรียนพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ไม่นานครูหลายคนก็พาเธอออกไปจากหอประชุม อันเป็นว่างานปัจฉิมนิเทศต้องจบลงไปโดยที่ไม่เรียบร้อย ครูบอกเพียงแค่ว่าอาการทางประสาทของประธานนักเรียนกำเริบขึ้นมาเท่านั้น
     ยังเป็นประธานนักเรียนได้อีกเหรอเนี่ย
     แต่ชั้นเองก็พูดแรงไปด้วยในบางที รึว่าเพราะตัวชั้นไม่เหมือนเคอร์บี้ที่ไม่เก่งอะไรเลยเหมือนก่อนเหรอ
     "นายเนี่ยสุดยอดเลย! รับแรงมือของประธานนักเรียนที่แรงสุดๆด้วยมือเดียวได้ด้วย"
     "ขอบใจนะ..แต่ว่าเรื่องที่เรียนต่อน่ะ"ชั้นถามเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน"นายต่อที่ไหนล่ะ"
     "ชั้นก็ต่อที่นี่แหล่ะ"เขามองมาทางชั้น"นายคงจะต่อที่..."
     "ชั้นต่อที่นี่เหมือนกันแหล่ะ"ชั้นตอบปัดไป ความจริงก็อายนะที่ไม่ได้คิดจะต่อที่ไหนเลย
     "เหรอ อ๊ะ! มาแล้วซองประกาศที่เรียนต่อ!"
     นักเรียนที่อยู่แถวนั้นพากันเดินมาที่ครูคนหนึ่ง เขาถือซองเอกสารจำนวนมหาศาลไว้ด้วยสองมือ วางมันบนโต๊ะหินอ่อน และประกาศชื่อนักเรียนพร้อมกับโรงเรียนที่จะต่อ
     "ยังไงชั้นก็คงอยู่ที่นี่แหล่ะ"เพื่อนของชั้นบอกเมื่อถึงชื่อของเขา"นั่นไง ชั้นไม่มีทางเด้งไปโรงเรียนอื่นได้หรอก"
     เขาเดินออกไปรับซองเอกสาร และหันมาบอกชั้น
     "ต่อไปของนายล่ะ"
     ชั้นที่ไม่ได้หวังอะไรเลยกับซองเหล่านั้นเดินออกมาข้างหน้าเพื่อรอรับซองเอกสาร ครูเปิดดูถึงกับยิ้มทันที
     "เธอนี่มีโรงเรียนนู่นนี่ขอตัวไปเต็มเลยนะ"ครูพูดกับชั้น"แต่เธอกลับเรียนที่เดิมเนี่ยนะ"
     "ก็...ผมอยากอยู่ที่นี่นี่นา..."
     ชั้นทำน้ำเสียงเหมือนจะงอนครูที่พูดแบบนั้น แต่ครูก็ประกาศออกมาให้รู้ว่า
     "เธอได้ไปโรงเรียนของคนที่มีความสามารถ! โรงเรียนเอ็นด์พีเอส!"
     เอ๋? ไม่ใช่ที่นี่เหรอ? ไหนว่ายิ่งอันดับสูง โรงเรียนที่เลือกยิ่งมีโอกาสได้ไง จำได้ว่าชั้นไม่ได้เขียนลงไปนะ
     โรงเรียนเอ็นด์พีเอส เป็นโรงเรียนที่รวมรวบสุดยอดนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆเข้ามาอยู่ แต่ว่านักเรียนเหล่านั้นมีอัตราการแข่งขันที่สูงมากจนชั้นคงไม่สามารถเข้าได้เหมือนกัน แล้วทำไมชั้นถึงได้ทั้งๆที่ไม่ได้สอบหรืออะไรเลยล่ะ
     "ทางนั้นเขาต้องการเธอมากๆเลยนะ น่าภูมิใจจริงๆ ขอให้ตั้งใจเรียนด้วยละกัน"
     "สุดยอดเลย! นายโกหกชั้นว่านายจะอยู่ที่นี่ต่อนี่นา!"เพื่อนชั้นพูดด้วยอารมณ์งอน"เรียนที่นู่นเป็นไง นายอย่าลืมบอกละกันนะ!"
     ..........
     "แสดงว่าพี่ต้องไปเช่าหออยู่สินะ"มิโดริพูดกับเคอร์บี้"คราวนี้พี่อยู่คนเดียวจริงๆ ไม่เหงาแย่เหรอ"
     "แม่บอกพี่ว่าหอที่ไปอยู่มันเป็นหอรวมชายหญิงน่ะ แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายก็เยอะกว่านั่นแหล่ะ พี่ไม่เหงาหรอก คงต้องมีคนรุ่นเดียวกันอยู่บ้าง"
     "หอที่ลูกไปอยู่มีแค่หกห้องเองนะ แล้วก็เป็นแบบบ้านทั่วไปด้วย จะเนียกหอมันก็แปลกๆอยู่ เห็นว่ามีคนเช่าอยู่แล้วสี่ห้อง บอกว่าผู้ชายล้วนด้วย หอแบบบ้านคงจะเหมาะกับลูกมากกว่า เพราะว่ามีอะไรก็พึ่งพากันได้"
     "เอ๋...จริงเหรอ งั้นคงจะสนุกแล้วสิ จะว่าไปไม่ได้ติดต่อกับพวกนั้นเลย ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้างแล้วสิ"เคอร์บี้พูดถึงเพื่อนของเขา"เห็นดีดีดีถ่ายรูปส่งมาให้ดู กำลังไปเที่ยวที่อเมริกาอยู่"
     "ว้าว พี่ดีดีดีเค้าคงสนุกน่าดูนะ บ้านรวยแบบนั้น"มิโดริพูด"พี่บานดาน่าก็วิดิโอคอลมาคุยเรื่องอาหารกับหนูอยู่นะ"
     "ลูกมีเพื่อนทำอาหารด้วยเหรอเนี่ย ดีจัง หวังว่าจะทำอะไรที่อร่อยมาให้แม่ชิมบ้างนะ"แม่ของพวกเขาพูดขึ้นมา มิโดริหัวเราะเสียงคิก
     "แต่ว่าเมต้าไนท์กับคิลเลอร์นี่สิ ไม่มีข่าวเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น..."เคอร์บี้พูดเบาลง
     "คงจะอยู่ในช่วงปรับตัวมั๊งนะลูก เด็กวัยเท่าลูกแต่เจอเรื่องแบบนั้นแต่เด็ก พอเป็นอิสระจากพวกนั้น พวกเขาคงอยากจะพักบ้างแหล่ะ"
     "นั่นสินะคะ แต่หนูว่าพี่คิลเลอร์เค้าแปลกคนดีนะพี่"
     "แปลกยังไง"เคอร์บี้ถามน้องสาวตัวเองกลับไป
     "ก็บางทีพี่เค้าก็เอาแต่บิดตัวตลอดเวลาอยู่ใกล้หนู พูดติดๆขัดๆบ้าง บางทีพี่เค้าก็เดินหนีไปเลยตอนหนูอยู่ด้วยช่วงที่พี่อยู่โรงพยาบาลน่ะ"มิโดริพูด"พี่...เค้าไม่ชอบหนูเหรอ"
     เคอร์บี้กับแม่ของพวกเขายิ้มและหัวเราะทันที
     "มิโดริเอ๊ยยย ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอลูก"
     "เอาน่าๆ แม่ก็อย่าไปบอกมิโดริเลย คิลเลอร์เองก็ลีลาแบบนั้นน่ะ แต่ก็สมกับเป็นคิลเลอร์นั่นแหล่ะ ไม่กล้าบอกตรงๆ"
     "เอ๋ หมายความว่าไงคะ?"มิโดริทำหน้างง
     "ต่อขึ้นเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหล่ะ"แม่ของเคอร์บี้ปัด
     "นอกจากว่าคิลเลอร์จะบอกเองละกัน"เคอร์บี้มองน้องสาวตัวเองแล้วก็หัวเราะ
     'ก็คิลเลอร์เค้าชอบมิโดริน่ะสิ'
     เคอร์บี้เก็บคำนี้เอาไว้ในใจ เพราะว่าน้องสาวเขาช่างใสซื่อเหลือเกิน แต่ก็เป็นคนที่หัวดื้อด้วย หัวดื้อเหมือนกับคิลเลอร์
     เคอร์บี้ได้แต่หัวเราะ และดูรูปที่หาจากอินเตอร์เน็ต ถึงหอพัก....บ้านที่เขาต้องไปอยู่ร่วมกับคนอีกสี่คนเมื่อถึงเปิดเทอมคราวหน้า สถานที่ใหม่ที่เขาต้องไปก็คือโรงเรียนเอ็นด์พีเอส ที่อยู่ในประจวบคิรีขันธ์ แต่ห่างจากชายฝั่ง เป็นส่วนที่ติดกับเทือกภูเขา พูดง่ายๆคือ
     เป็นโรงเรียนที่อยู่นอกเมืองแต่กลับมีชื่อเสียงอย่างมาก
     เคอร์บี้หวังว่าจะไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น แต่ทุกอย่างนั้นมันกำลังจะเริ่มขึ้นใหม่
     ทุกอย่างมันยังไม่จบแค่นี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น