Translate

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Kirby's story of star 2nd ep 4 : เชื่อมโยง

     นี่ก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้วที่บานดาน่าตัวปลอมจ้องจะทำร้ายพวกเราในวันนั้น
     ชั้นเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมบานดาน่าตัวปลอมถึงปรากฏตัวออกมาให้พวกเราเห็น และพูดเกี่ยวกับโลกกระจกด้วย
     อะไรคือโลกกระจก อะไรคือเงาสะท้อนของเรา อะไรคือด้านมืดของเรา
     บานดาน่าตัวปลอมบอกว่าชีวิตของพวกเราบนโลกนั้น แตกต่างจากที่เราอยู่โดยสิ้นเชิง ทั้งโหดร้าย ทั้งฆ่ากันเพื่อเอาชีวิตรอด
     อีกทั้งยังบอกว่าด้านมืดของชั้นยังโหดร้ายสุดๆด้วย
     ถ้าเป็นอย่างที่บานดาน่าตัวปลอมบอกมา แสดงว่าโลกทางนั้นกำลังต้องเกิดอะไรขึ้นที่เกี่ยวกับพวกเราแน่ๆ ถึงออกมาตามฆ่ากันแบบนี้ แต่ชั้นก็ยังมีสงสัยหลายๆอย่าง ถ้าบานดาน่าตัวปลอมออกมาจากโลกกระจกได้--
     คนอื่นก็ต้องออกมาได้
     ไม่แน่ว่าทั้งตัวชั้น ตัวของดีดีดี ตัวของเมต้าไนท์กับคิลเลอร์ รวมถึงคนอื่นๆในโลกกระจกก็ออกมาแล้ว แค่เพียงรอเวลาเท่านั้น
     ถ้าถึงตอนนั้นแล้ว...ชั้น...จะทำยังไงดี
     "นี่ๆ นายดูนั้นสิ"
     "อะไรเหรอ"
     กลุ่มคนในห้องพากันเรียกพวกมาดูนอกหน้าต่างห้องเรียน ชั้นกับบานดาน่าที่นั่งอยู่ในห้องศิลปะด้วยกันก็ยืนขึ้นดูตาม
     "มีอะไรกันน่ะ..."ชั้นบ่นพึมพัม และเบียดตัวดู
     "นั่นคนในชมรมฟันดาบนี่ครับ?"บานดาน่ามองดู"แล้วนั่นก็ประธานชมรมด้วย เขาชื่อว่ามีน เขาเป็นแชมป์ฟันดาบเยาวชนระดับประเทศหลายปีซ้อนน่ะครับ"
     "เกิดอะไรขึ้นกันนะ ถือดาบทั้งคู่เลย แต่คนที่เป็นสมาชิกดูจะเกร็งๆไปนะ"
     "ผมได้ยินข่าวลือมานะครับว่าสมาชิกที่เข้าชมรมนี้ส่วนใหญ่จะกลายเป็นคนรับใช้ของประธานชมรม ที่ปรึกษาชมรมนี้ก็ไม่มีด้วย ทำให้ยิ่งขยายอำนาจได้ไว้ขึ้น..."บานดาน่าทวน"เดี๋ยวนะครับ....คิลเลอร์ก็อยู่ด้วยในนั้นนี่นา!"
     "เอ๋! คิลเลอร์เนี่ยนะ! ทำไมล่ะ"ชั้นรีบขออาจารย์ลงไปดูพร้อมกับบานดาน่า แต่สายไปเสียแล้ว ทุกอย่างเพิ่งจบลงไป คิลเลอร์เดินออกมาเพื่อจะกลับเข้าห้องชมรมของตัวเอง
     "คิล! เกิดอะไรขึ้นเหรอ?"ชั้นถามเขาไป เขาก็ทำน้ำเสียงเชิงไม่อยากให้พูดตอนนี้ทันที
     "ไว้ค่อยคุยกันที่หอเถอะ วันนี้ประธานชมรมแกอารมณ์ไม่ดีที่มีคนจะขอลาออกไปชมรมอื่น ทางชมรมนั้นเขาอนุมัติแล้ว แต่ว่า...."
     คิลเลอร์หันไปมองประธานชมรมที่กำลังเดินมาทางนี้
     "อะ..เอาไว้คุยกันที่หอเถอะนะ! ป..ไปก็ก่อนล่ะ!"
     "เกิดอะไรขึ้นกันแน่...."ชั้นพูดกับบานดาน่าก่อนที่จะขึ้นบันไดไปห้องชมรมเหมือนเดิม"คิลเองก็เหมือนจะไม่อยากให้พูดต่อหน้าประธานนั่นด้วย"
     "นั่นสิครับ..."บานดาน่าได้แต่พูดแค่ประโยคสั้นๆ เขาก็คงไม่รู้ว่ามีอะไรกัน"อ๊ะ คิลเลอร์?"
     "โชคดีที่ประธานชมรมแกปล่อยมา!"คิลเลอร์วิ่งตามหลังพวกชั้น ท่าทางหอบ"อารมณ์เสียใหญ่เลย บอกว่าหมดอารมณ์จะซ้อม"
     "งั้นเหรอ แต่ว่านายจะไปไหนน่ะ ได้ปล่อยก่อน จะรอเมต้าไนท์เหรอ"ชั้นถามเขา
     "อื้อ จะไปห้องดนตรีน่ะ ดูซิว่าเมต้าไนท์จะเล่นดีมั๊ย เขาชอบจับคอร์ดไม่แน่นพอตลอด"คิลเลอร์เดินตามพวกชั้นและกำลังจะเลี้ยวไปคนละทาง
      "งั้นพวกเราไปก่อนนะครับ"บานดาน่าโบกมือลาคิลเลอร์
     "อื้อ"
      คิลเลอร์เดินไปเงียบๆ เขาหันซ้ายหันขวาเหมือนหลบใครซักคน บานดาน่าจึงหันมาพูดกับชั้น
     "เมื่อกี๊...ผมว่าเขาโกหกเรื่องเลิกแล้วนะครับ"
     "นั่นสิ...ดูลนลานแปลกๆด้วย ไม่ใช่ตัวคิลเลอร์เลยซักนิด สงสัยต้องมีอะไรจริงๆนั่นแหล่ะ.."
      ชั้นกับบานดาน่าเห็นพ้องกัน พักนี้คิลเลอร์ดูแปลกๆไป ทั้งท่าที ทั้งน้ำเสียง ก็ไม่ทุกครั้ง เหมือนเขาจะเป็นเฉพาะแค่ตอนที่มาเรียนเท่านั้น ครั้งนี้มันแสดงออกชัดเจนว่าเขากำลังเจอเรื่องลำบากสุดๆ แต่ก็ไม่ยอมบอกใคร
     ปกติคิลเลอร์เป็นคนค่อนข้างหัวดื้อ ไม่ชอบฟังใคร ไม่ยอมใคร ยกเว้นกับเมต้าไนท์
    เขามักจะตามใจเมต้าไนท์เสมอไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ว่างจากชมรมเขามักจะแวะไปที่ห้องดนตรีที่เมต้าไนท์อยู่เสมอ ชั้นก็ไม่รู้หรอกว่าไปเพราะอะไร รึว่า...
     "เอ..สีขาว...หว๋า ลืมหยิบสีขาวมาจากใต้ลิ้นชักจนได้"ชั้นบอกบานดาน่า"งั้นชั้นไปที่ห้องก่อนนะ"
     "ครับ เดี๋ยวผมจะบอกครูให้ละกัน"
     "ขอบคุณนะ"
     ชั้นเดินผ่านห้องดนตรีที่อยู่ระหว่างทางเดินไปยังห้องโฮมรูม ได้ยินเสียงของเมต้าไนท์กำลังเล่นกีต้าร์ไฟฟ้าเหมือนทุกวัน ชั้นจึงเดินผ่านไป หยิบขวดสีโปสเตอร์ออกมาจากใต้โต๊ะ เดินออกมา แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชั้นสดุดตาก่อนออกจากห้อง นั่นก็คือสมุดบันทึกเก่าๆเล่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะของบุน สภาพของมันราวกับผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่มีชื่อเขียน มีเพียงคำว่า
     "กระจก"
     ชั้นพูดขึ้นมาและหยิบหนังสือถือไว้กับมือ ผ่านฝน ผ่านหนาว ผ่านแดดจนชั้นไม่กล้าเปิดเพราะกลัวจะขาด อีกอย่างก็คือมันจะเสียมารยาทถ้าเป็นของบุนจริงๆ
     กระจก...ทำไมถึงเขียนหน้าปกแบบนี้ล่ะ
     "เคอร์บี้?"
     ช้้นสดุ้งกับเสียงของบุนที่เดินเข้ามาในห้อง เขามองด้วยสายตาที่สงสัยชั้น
     "บ..บุน? หนังสือเล่มนี้ของนายรึเปล่า?"ชั้นยื่นหนังสือเล่มนั้นให้บุน เขายังคงมองชั้นต่อไป
     "นาย..ได้อ่านรึเปล่า"บุนถามย้ำน้ำเสียงกับชั้นราวกับเป็นเรื่องใหญ่"ชั้นถามว่านายได้อ่านรึเปล่า!"
     "เปล่าๆ! ชั้นเพิ่งหยิบขึ้นมากะจะเอาไว้ใต้โต๊ะให้นายเฉยๆ"
     ชั้นตกใจมากที่บุนถามด้วยน้ำเสียงปนโมโห เขาคงไม่อยากให้ยุ่งกับหนังสือเล่มนั้นมากๆ
     "..งั้นแล้วไป"บุนถอนหายใจและใช้น้ำเสียงปกติ"ชั้นไม่ชอบให้ใครยุ่งของชั้นน่ะ"
     บุนเดินออกจากห้องไปพร้อมกับหนังสือเล่มนั้น คงจะย้อนกลับมาเอา
     แต่..ถ้าไม่ชอบให้ใครยุ่งของส่วนตัวก็ไม่น่าจะใช้น้ำเสียงแรงขนาดนั้นนี่นา
     ชั้นเดินออกมาจากห้อง เดินกลับไปทางห้องศิลปะ ได้ยินเสียงคิลเลอร์เอ็ดเมต้าไนท์เรื่องการจับคอร์ด ชั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ น้ำเสียงของเมต้าไนท์ดูลนลานทันทีเมื่อพี่ชายว่านู่นนี่ให้
     "จับให้แน่นกว่านี้สิ! ไม่งั้นเสียงมันจะเพี้ยนนะ!"
     ชั้นเดินเข้ามาในห้องศิลปะเหมือนเดิม วางขวดสี และลงมือวาดต่อ หัวข้อวันนี้คืออิสระ บานดาน่าจึงลงมือวาดรูปทะเลที่ตรงกลางเป็นเกาะแคปปี้ พูดถึงก็ชวนคิดถึง ช่วงนี้ก็ไม่ได้กลับบ้านไปนอนบนเตียงทางนู้นเลย สงสัยจังว่ามิโดริจะเป็นยังไงบ้าง
     ชั้นตัดสินใจที่จะวาดดอกไม้ที่มีกลีบสีเหลืองส้มท่ามกลางความมืดมิด ชั้นวาดแบบไม่คิดอะไร ไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่มีแนวคิด ก็แค่วาดตามความรู้สึกที่อยากวาด เพราะว่ากระถางดอกไม้เล็กๆที่อยู่ตรงหน้าต่างห้องนอนเก่าของชั้นที่ปังมาม่ามันมีดอกไม้งอกขึ้นมาเป็นกลีบสีเหลือง พวกอุ้มกับบุ๊คที่เข้าไปทำความสะอาดห้องรับแขกถ่ายรูปมาให้และเอาออกจากตรงนั้นมาไว้ที่ครัวแทน ชั้นเลยวาดดอกไม้นั้นขึ้นมา
     แต่ว่า..ใครจะรู้ล่ะว่าดอกไม้นั้นมันเป็นกุญแจตอบคำถามทุกอย่างหลังจากนี้
     หลังเลิกเรียน พวกเราพากันเดินกลับหอ มีแค่เมต้าไนท์กับคิลเลอร์ที่แยกไปทำงานพิเศษ
     "นี่ๆ วันนี้ทำไรกินดีล่ะ"ดีดีดีถามชั้นกับบานดาน่า"เมตี้กับคิลก็กลับดึกเหมือนเคยนั่นแหล่ะ"
     "งั้นไปหาอะไรกินแถวนี้ดีกว่านะครับ"บานดาน่าบอก"เดินลงไปตรงสวนสาธารณะที่ห่างจากที่นี่ไม่มากมีร้านขายบะหมี่อยู่"
     "กู้ดไอเดียๆ!ชั้นอยากกินมานานแล้วล่ะ!"ดีดีดีเดินนำหน้า"ตั้งแต่ออกมาอยู่หอ อิสระมันเป็นแบบนี้นี่เอง!"
     "หมายความว่ายังไงเหรอดีดีดี"ชั้นถามเขาไป ท่าทีเขาก็หงอยลงทันที
     "ก็นะ..อยู่แบบลูกคุณหนูมันไม่ได้ดีอะไรหรอก ต้องรักษาภาพพจน์ เรียนโรงเรียนนานาชาติ ทำตัวให้สงบเสงียม เข้าสังคมชั้นสูง..."ดีดีดีเบาเสียงลง"ไม่มีอิสระเลย"
     "อืม..เอาเถอะ เดินลงไปกัน"ชั้นเดินตามดีดีดีไป เขาทำท่าทีร่าเริงเหมือนเดิม
     ..........
     "อือ..."
     "หืม...."
     "ช่วงนี้เธอยิ่งแปลกไปนะ ดีพเอ็นด์ มีอะไรรึเปล่า"
      ฟูมุถามดีพเอ็นด์ที่นั่งเขียนอะไรซักอย่างบนกระดาษเชิงผังความคิด
     "ก็เขียนเรื่องที่อาจจะเป็นไปได้น่ะสิครับ พอไม่ใช้หูฟังแล้ว มันยากสุดๆเลย..."ดีพเอ็นด์ถอนหายใจ"แต่ก็จะไม่ยอมใช้เด็ดขาด! ห้ามใช้นะดีพเอ็นด์"
      "เรื่องที่เป็นไปได้...?"ฟูมุทวน"เรื่องอะไรเหรอ"
     "ผมสงสัยครับ ผมเป็นเอไอที่มีความรู้สึกขนาดนี้ มีอะไรทุกอย่างเหมือนกับชาวแคปปี้ มันไม่แปลกไปเหรอครับ"ดีพเอ็นด์อธิบาย"การที่จะเมดเทอร์ทำได้ขนาดนี้มันทำให้ผมสงสัย...ว่าผมอาจจะเคยเป็นใครมาก่อนรึเปล่า"
     "..."ฟูมุเงียบและเธอก็นั่งคิดกับดีเอ็นด์ต่อไป
     "งั้น...เธออยากจะออกไปเดินเล่นซักหน่อยมั๊ยล่ะ ที่ข้างนอก"
     "เอ๋? ว่าไงนะครับ?"ดีพเอ็นด์ทวน เขาคิดว่าได้ยินผิด
     "อยู่แต่ในห้องแบบนี้ก็อึดอัดไม่ใช่เหรอ เธอไม่ได้ออกไปไหนเลย ออกไปหาซื้ออะไรกินสิ ร่างกายเธอใช้พวกอาหารเผาพลาญสร้างพลังงานนี่นา แต่เธอก็ไม่ค่อยกินเพราะอยู่แต่ในห้อง ใช้พลังงานไม่เยอะ เดินออกกำลังซักหน่อย กินขนมนิด สูดอากาศบริสุทธิ์"ฟูมุพูดกับดีพเอ็นด์"เอานี่ ชั้นให้ เหมือนให้ค่าขนมนั่นแหล่ะ จำทางได้นะ"
     "แถวนี้มีสวนสาธารณะสินะครับ งั้นผมจะออกไปเดินแถวนั้นละกัน ขอบคุณนะครับที่ให้ออกไป"ดีพเอ็นด์หยิบหมวกสีขาวมาสวมบนหัว สะพายกระเป๋าสะพาย และเปิดประตูออกไป
     ..........
      "รู้สึกดีจังเลยยยย"ชั้นบิดขี้เกียจและเดินเล่นในสวนสาธารณะหลังจากที่ไม่ได้ออกมาเจอโลกหลายเดือนเนื่องจากทางคุณฟูมุต้องการเก็บเรื่องชั้นไว้เป็นส่วนตัว ตำรวจสากลส่วนใหญ่ลงมติว่าชั้นนั้นควรจะได้ดาวน์เกรดลงเหลือเป็นเพียงแค่เอไอทั่วไป แต่คุณฟูมุ คุณกาลาทิค อีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาบอกว่าให้ชั้นนั้นเป็นแบบนี้ต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยนคืออยู่ในความดูแลของคุณฟูมุและห้ามใช้หูฟังในการควบคุมอันใดเด็ดขาด
     ชั้นเดินไปที่ตู้กดน้ำอัตโนมัติที่ตั้งอยู่ เลือกชาเขียว หาม้านั่งมานั่งดูน้ำพุที่อยู่ตรงข้างหน้า ชั้นจับกระเป๋าสะพายให้แน่นที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะว่าชั้นเอาหูฟังออกมาด้วย เผื่อเกิดเรื่องฉุกเฉินจริงๆ จะได้ใช้มัน
     ไม่นานนักชั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินมา ทั้งที่ตอนนี้คนไม่น่าจะเดินเข้ามาในส่วนนี้กันแล้ว เขาเป็นชาวแคปปี้ตัวสีเดียวกันกับเคอร์บี้ ไม่สิ เหมือนกันทุกอย่าง แต่เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก เขามองชั้นและอมยิ้ม เดินเข้ามาพูดเสียงเบาๆว่า
     "สวัสดีดีพเอ็นด์ ไม่เจอกันนานเลยนะ"
     ชั้นสดุ้งทันที เขา..รู้ว่าชั้นเป็นใคร ชั้นควรจะทำยังไงดี..
     ไม่สิ ต้องไม่ลนลาน ควรจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆตามที่คุณฟูมุบอก ต้องกลบเกลื่อนให้เนียน บอกว่าทักผิด
     "..คุณจำคนผิดแล้วล่ะครับ ผมไม่ใช่ดีพเอ็นด์หรอก"
     "โธ่! อย่าทำแบบนี้สิ"เขาเดินเข้ามานั่งข้างๆชั้น"กำลังสงสัยใช่มั๊ยล่ะว่าชั้นเป็นใคร รู้ชื่อเธอได้ไง ก็นะ โดนทักแบบนี้ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา เหมือนคนทั่วไปขึ้นทุกวัน ดีแล้วๆ"
     เขามองมาที่ช้้นต่อ
     "ผมบอกว่าผมไม่ใช่ไง"ชั้นตอบเขากลับด้วยคำโกหกเหมือนเดิม
     "กำลังห่วงเคอร์บี้ใช่มั๊ยล่ะ ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึินรึเปล่า"
     "เอ๋?"
     ชั้นจ้องเขาคนนั้นคืนเป็นเวลาหนึ่งก่อนที่ช้้นจะถามเขาอีกครั้ง
     "คุณ...เป็นใคร"
     ชั้นยอมแพ้ตัวเขาที่เขาจับทางชั้นได้หมดราวกับว่าเขารู้อยู่แล้วทุกอย่าง
     "ใส่หูฟังนั่นสิ แล้วมองที่ชั้น"
     ชั้นทำตามเขา ขอโทษนะครับคุณฟูมุ แต่ว่า...
    ชั้นใส่หูฟัง กลับคืนสภาพเดิมของตัวเอง และมองไปที่เขานั้น
    ไม่จริงน่า...
     เขาคนนั้นคือ...
     "ถอดออกได้แล้วๆ แค่รู้ว่าชั้นเป็นใครก็พอ"เขาบอกชั้นให้ถอดหูฟัง แต่ชั้นไม่ทำ จนเขาถอดออกให้
     "อ้ำๆอึ้งๆอยู่นั้นแหล่ะ"เขาหัวเราะ"เป็นไงล่ะ ใช้ชีวิตแบบชาวแคปปี้ทั่วไป"
     "ท..ทำไม..นายทำได้ยังไง..."ชั้นหันไปถามเขา"นาย..."
     "นี่ นายรู้มั๊ยว่าอนาคตมันเปลี่ยนได้ตลอด ถ้าเกิดว่าทำอะไรผิดไป ก็อาจจะไม่ได้มานายเลยนะ"เขาคุยกับชั้นหยิบขวดชาเขียวมา เขาเปิดฝาให้ ยื่นกลับ "แต่ว่าตอนนี้สบายใจได้เลย"
     "แล้วทำไมนายต้องมาหาชั้นล่ะ"
     "แค่แวะมาเฉยๆน่ะ ไม่มีไรหรอก ไม่ได้มานั่งสบายๆแบบนี้นานแล้วล่ะ อีกอย่างก็ชั้นอยากแว๊บมาดูพวกเมต้าไนท์ว่าไม่เป็นอะไรรึเปล่าตอนนี้"
     เขาตอบชั้นถึงเรื่องของเมต้าไนท์กับคิลเลอร์ นั่นทำให้ชั้นสงสัยว่าเขาต้องการมาดูพวกเขาเพราะอะไร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้หูฟังดูเรื่องที่จะเกิดขึ้นเลย ในเมื่อ
     "ชั้นกลัวว่าเรื่องที่พวกเขาจะได้รู้เร็วๆนี้มันจะทำร้ายจิตใจพวกเขาทั้งสองคนสุดๆ..เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ชั้นก็ทำอะไรไม่ได้หรอกนะ"เขาบอก"เอาเถอะ ก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปละกัน"
     "แต่ชั้นก็ยังไม่รู้เลยนะ ว่านายมาได้ยังไง"ชั้นถามเขาอีกรอบ เขาหันมา ยิ้มอ่อนๆให้ และเดินออกไป
     "ก็นะ...ชั้นบอกไม่ได้หรอก ชั้นทำได้แค่มาช่วยบางเหตุการ์ณเท่านั้น เพราะถ้าชั้นยุ่งมากกว่านี้ล่ะก็ มันจะทำให้กาลเวลามันผิดเพี้ยนไปน่ะสิ"เขาหันมา ก่อนที่จะเดินถอยหลังไปอีก"ไปก่อนนะ บาย"
     จู่ๆก็มีลมแรงพัดมา ชั้นจึงรีบหลับตากันฝุ่น เมื่อลืมตาขึ้น เขาคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว
     ชั้นนั้นตกใจมาก เขาทำได้อย่างไร เขาอยู่เหนือกฏของกาลเวลาได้อย่างไร อีกอย่างคือ เขามีจุดประสงค์ที่แท้จริงอย่างไร
     เขาย้อนกลับมาในอดีต เพื่อที่จะช่วยให้พ้นสถานะการณ์ไปได้ แน่นอนว่าถ้าผิดนิดเดียว ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป เขายอมอยู่บนความเสี่ยงขนาดนั้นเลยเหรอ
้     .........
     "ฮัดชิ้ว!"
     "เป็นไรรึเปล่า เคอร์บี้"
     "ไม่หรอกๆ แค่ฝุ่นเข้าจมูกน่ะ ใครนินทานะ..."
     เคอร์บี้นั่งกินบะหมี่กับเพื่อนของเขาอีกสองคนภายใต้ร้านบรรยากาศอบอุ่น เขาสั่งบะหมี่เกี๊ยวที่น้ำซุปต้มจากกระดูกหมูชั้นดี แน่นอนว่าด้วยความที่ดีดีดีเป็นลูกคุณหนูตระกูลนักชิม เขาย่อมพอใจในระดับนึง ส่วนบานดาน่าก็ตั้งหน้าตั้งตาใส่เครื่องปรุงเพิ่ม เนื่องจากเขาไม่ค่อยชอบน้ำซุปร้านนี้นัก
     "ผมว่ามันแปลกๆไปนิดนะ..."บานดาน่าบ่นพลางตักน้ำตาลใส่ไปครึ่งช้อนโต๊ะ
     "แต่นายเป็นคนชวนมาเองนี่"ดีดีดีพูด เขาตักน้ำซุปเข้าปาก"ชั้นว่าอร่อยดีนะ"
     "ผมไม่ค่อยชอบใช้กระดูกหมูต้มซุปน่ะครับ ผมว่ามันคาวๆไป.."
     เคอร์บี้นั่งเหม่อมองนอกหน้าต่างระหว่างที่บานดาน่ากับดีดีดีคุยกันเรื่องน้ำซุป เขากำลังนึกถึงสมุดของบุน ถ้าเขาเปิดอ่านตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมสมุดเก่าๆเล่มนั้นบุนถึงได้หวงมากราวกับเป็นสมบัติทั้งชีวิต หน้าปกที่เขียนว่ากระจกและตัวอักษรเลือนๆที่อ่านไม่ออกแล้ว
     "เคอร์บี้? เคอร์บี้!"ดีดีดีเรียกเคอร์บี้ ทำให้เขาสดุ้งโหยงจนเกือบทำชามบะหมี่หก
     "มีอะไรกันแน่ นายดูเหม่อๆนะ"ดีดีดีเอามือของเขามาแปะหน้าผากเคอร์บี้"ไม่สบายรึเปล่า"
     "ไม่หรอกๆ ชั้นคิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ"เคอร์บี้ปัด เอามือของดีดีดีออก
     "งั้นแล้วไป"ดีดีดีถอนหายใจ"ชั้นกลัวนายจะคิดมากจนเหมือนช่วงที่น้องสาวนายมาหานายที่ร้านขนมปัง แล้วไม่สบายจนล้มลงไปเลยน่ะ"
     "น่าๆ ตอนนี้ชั้นไม่มีอะไรที่ต้องคิดมากขนาดนั้นหรอก บางทีนะ...."
     "หืม? ว่าไงนะ?"ดีดีดีหันมาอีกรอบ
     "ไม่มีอะไรหรอกน่าๆ"เคอร์บี้ปฏิเสธรอบสอง
     "ผมว่านะ เคอร์บี้กำลังโกหกอยู่รึเปล่าครับ"บานดาน่าลดเสียงลง"มีอะไรแน่ๆ"
     เคอร์บี้ไม่เถียงบานดาน่ากลับ เขาถอนหายใจเบาๆ ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม สีหน้าเปลี่ยนไปชัดเจน
     "...อื้อ...ชั้นกำลังสงสัยบุนน่ะ เขามีหนังสือเก่าๆเล่มนึง เขียนหน้าปกว่ากระจก ่แค่ชั้นหยิบขึ้นมาเฉยๆยังไม่ทันได้อ่าน เขาเข้ามาเห็นก็โกธรเป็นฟืนเป็นไฟเลย เขาบอกว่าไม่อยากให้ใครมายุ่งกับของเขา แต่ชั้นสงสัยจริงๆว่าต้องโกธรขนาดนั้นเลยเหรอ.."
     "อื้ม เป็นชั้นก็แบบนั้นนะ แต่โกธรถึงขั้นไหนเหรอ"ดีดีดีถามเคอร์บี้
     "น้ำเสียงเหมือนกับเป็นเรื่องเป็นเรื่องตายเลยล่ะ"เคอร์บี้ตอบกลับไป"แล้วสีหน้าก็ฟ้องว่ายิ่งเป็นชั้นหยิบยิ่งโกธร"
     "มันต้องมีอะไรซักอย่างแล้วล่ะครับถ้าแบบนี้...กระจกเหรอ...?"บานดาน่าทวน"ไม่เอาน่า...มันคงไม่เกี่ยวกับ..."
     ทุกคนนั่งเงียบ และนึกได้ว่าเรื่องของบุนอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับบานดาน่าตัวปลอมก็เป็นได้
     "ชั้น..ชั้นว่าบุนไม่เกี่ยวหรอกมั๊ง...ฮะฮะ..."ดีดีดีพูดน้ำเสียงสั่นเครือ
     "น..นั่นสินะครับ...ผม..ผมคิด..คิดไปเองมากกว่า"บานดาน่าก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
     "แต่ว่า...มันก็น่าสงสัยไม่ใช่เหรอ?"เคอร์บี้พูดขึ้นมา"ชั้นว่า...."
     พวกเขาตัดสินใจที่จะไปหาบุนในวันต่อมา โดยที่เรื่องนี้พวกเขาต้องการให้เมต้าไนท์กับคิลเลอร์ไปด้วย
     แต่ทั้งหมดนี้กำลังจะทำให้บางสิ่งเปลี่ยนไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น