Translate

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

Kirby's story of star 2nd ep 5 : คุม

     วันนี้ชั้นต้องรู้ให้ได้!
     บุนปิดบังอะไรจากพวกเรา เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับบานดาน่าตัวปลอมรึไม่ และทำไมเขาต้องโกธรมากเมื่อชั้นจับหนังสือเล่มที่เขียนหน้าปกว่า กระจก
     พวกเรานัดเขาหลังเลิกเรียนที่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆกับสวนพฤษศาสตร์ เป็นที่ที่คนไม่ค่อยรึแทบไม่ผ่านเลย ที่นั่นจึงเป็นที่ที่ดีในการคุยเรื่องนี้ ถ้าบุนไม่เกี่ยวข้อง เขาก็จะเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา และหวังว่าเขาคงจะไม่ใช่
     "..พ..พวกนายมีอะไรเหรอ?"บุนยืนเกร็งที่เห็นสีหน้าของดีดีดีกับบานดาน่าที่จริงจังราวกับต้องการคำตอบในทันที ส่วนเมต้าไนท์กับคิลเลอร์นั่งกับพื้น ชั้นยืนพิงต้นไม้ข้างๆ
     ทุกคนล้วนต้องการคำตอบ
     "บุน ฟังนะครับ ผมว่าบุนทำตัวแปลกๆไปรึเปล่าช่วงนี้"
     บานดาน่ามองบุน
     "ม..ไม่นี่"
     "ผ่านมาซักพักแล้วนะที่นายดูกระสับกระส่ายแปลกๆ"ดีดีดีพูดต่อ"เมตี้ก็สังเกตตลอดนะ เขาบอกว่าตั้งแต่เดือนที่แล้ว"
     "ชั้นบอกว่าชั้นไม่ชอบชื่อเล่นนั่นนะ เรียกชั้นว่าเมต้า เ-ม-ต้-า!"เมต้าไนท์เถียงขึ้นมา"เอาเถอะ แต่นายก็แปลกจริงๆนะ นายบอกมาเถอะว่ามีอะไร"
     "..อะไรเหรอ เมตี้..."บุนเรียกเมต้าไนท์ว่าเมตี้ ทุกคนติดชื่อเล่นนี้กันหมดแล้ว"ชั้นไม่ได้ปิดอะไรน--"
     "บุน เมื่อเดือนก่อน บานดาน่าตัวปลอมมาทำร้ายพวกเรา เขาบอกว่าเขามาจากโลกกระจก แล้วชั้นสังเกตว่านายเริ่มแปลกๆตั้งแต่เห็นกระจกที่โรงเรียนเอามาให้แล้ว อีกอย่าง หนังสือที่ชั้นหยิบขึ้นมา..ของนาย มันเขียนไว้ว่ากระจก นายก็โกธรใหญ่เลยที่ชั้นหยิบขึ้นมา ทำไมล่ะ นายกลัวชั้นอ่านเหรอ นายมีอะไรกันแน่"ชั้นถามเขา เขาก็นิ่งไประยะหนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นต่อ
     "ก็แค่ไม่อยากให้คนอื่นอ่านข้างในนี่นา มันเป็นของส่วนตัวนะ"
     "แต่นายโกธรยิ่งกว่าโกธรอีกนะ"ชั้นเถียงกลับ
     บุนไม่เถียงกลับ เขายืนนิ่งเงียบ ก่อนที่เขาจะวิ่งหันหลังไปด้วยความเร็ว คิลเลอร์ไม่รอช้า เขารีบชักดาบออกมาจากปลอก ขว้างลงตรงหน้าบุนก่อนที่จะได้วิ่งต่อ เฉียดหน้าเขาเพียงนิดเดียว ส่วนเมต้าไนท์วิ่งตามหลังมาพร้อมกับชั้น เขาเอาดาบชูขึ้น ขู่บุนด้วยเสียงที่ไม่เป็นมิตร
     "นายก็รู้ว่าชั้นไม่ทำหรอก แต่ว่าถ้านายปล่อยให้ชั้นเลือดขึ้นหน้าล่ะก็..."
     เขาลดเสียงลง ก่อนที่จะใช้ดาบนั้นฟันหญ้าข้างทางหายไปเท่ากับรัศมีของดาบที่ถึง
     คนอื่นๆตามมา สีหน้าเคร่งเครียดแสดงถึงอารมณ์ที่ไม่เป็นมิตร แม้แต่ตัวชั้นเองก็เป็นแบบนั้น บุนที่จ้องอยู่กับดาบของคิลเลอร์ก็หันมาทางชั้น
     "...."
     "...."
     ต่างคนต่างเงียบเสียง ไม่มีใครพูดอะไรต่อ สีหน้าของบุนเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ความกลัว ความโกธร ทุกอารมณ์ผสมกันในหม้อเดียวกัน คนจนไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นแบบไหน ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆว่า
     "...ชั้น...มาจากโลกกระจก..."
     ..........
     "ชั้นไม่แปลกใจหรอก"เด็กชายชาวแคปปี้ตัวสีชมพูพูด"แต่ทำไม.."
     บุนทำสีหน้าจริงจัง เมต้าไนท์ผ่อนดาบลง เก็บเหมือนเดิม คิลเลอร์หยิบดาบขึ้นและเอาผ้าเช็ดดินที่ติดตรงปลาย ดีดีดีเดินมาข้างๆเคอร์บี้ เอามือกอดอก เช่นเดียวกันกับบานดาน่าที่เอามือไขว่หลัง สายตายังคงจ้องบุนไม่เลิก
     "ชั้นน่ะ หนีออกมาจากโลกกระจกไม่นานนี้เอง ชั้นเข้าไปที่นั่นประมาณเกือบสิบห้าปีก่อนก่อนได้แล้วล่ะ แต่ว่าที่นั่นทำให้อายุชั้นน่ะแช่แข็งไป เคอร์บี้ นายก็เห็นหนังสือเก่าๆนั่นแล้วนี่ นั่นน่ะ เป็นบันทึกที่ช้้นเขียนตั้งแต่ชั้นเข้าไปที่นั่น จนออกมา ชั้นเข้าไปที่โลกกระจกและตกใจมากเมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตรงข้ามกับโลกนี้หมดเลย แล้วชั้นก็พบว่าตัวเองสามารถคุมโลกดระจกได้ตามต้องการ ชั้นจึงคุมให้ทุกอย่างเป็นเหมือนโลกใบนี้ มีแต่สันติสุข ก่อนที่ดาร์กไมน์จะเข้ามาคุมโลกกระจก แล้วทำลายทุกอย่างไป..."
     "ดาร์กไมน์..?"ดีดีดีถามกลับไป
     "ดาร์กไมน์ในตอนแรกเขาก็หลงเข้ามา ด้วยความที่เขาฉลาด..ฉลาดมากว่าโลกกระจกมีชั้นคุมเบื้องหลัง ชั้นเลยให้เขาช่วยคุม ไม่นานโลกกระจกก็เริ่มเปลี่ยนไป ทุกอย่างเริ่มแปดเปื้อนไปด้วยเลือด ชั้นเห็นทุกคนที่อยู่ในโลกกระจกคร่ำครวญวอนหาสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือเลือดและอิสรภาพ ดาร์กไมน์ทำให้ทุกคนต้องมาฆ่ากันเอง ชั้นได้ไปถามเขาว่าเพราะอะไรถึงทำแบบนั้น เขาตอบแต่เพียงแค่ว่าจะทำให้โลกข้างนอกเห็นความจริงให้ได้ ชั้นไม่เข้าใจเลย แต่ชั้นก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายชั้นก็หาทางออกมาจากโลกนั้นได้ เริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายกระจกบานนั้น...ที่เป็นของนักเรียนปีหนึ่งน่ะ ก็มีคนสั่งเข้ามาไว้ในโรงเรียนนี้ ดาร์กไมน์รู้ว่าชั้นอยู่นี่ ดาร์กไมน์รู้ว่าพวกนายอยู่ที่นี่"
     "ดาร์กไมน์ต้องการอะไรจากพวกเรากันนะ"บานดาน่าขยับผ้าโพกหัว"ผมไม่เข้าใจ ทั้งตัวผมบนโลกกระจก ทั้งการฆ่า มัน..ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพวกเราเลยนี่ครับ?"
     "...มันอธิบายยากน่ะ...เรื่องนี้มันจะทำให้คนๆนึงในกลุ่มนายต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ"บุนพูดต่อ"สิ่งที่ดาร์กไมน์ต้องการคืออยากให้พวกนายเข้าไปในโลกกระจก ไปสืบความจริง ไปเห็นความจริง ถ้าชั้นเดาไม่พลาด....ดาร์กไมน์เกี่ยวข้องกับเมดเทอร์ห่างๆด้วย"
     "เมดเทอร์..."เคอร์บี้พึมพัม เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอนั้น เมดเทอร์บอกว่าอีกสามปีจะเจอกันอีก เมดเทอร์เป็นคนที่สร้างดีพเอ็นด์ขึ้นมา เมดเทอร์เป็นคนที่ต้องการให้เคอร์บี้ตายมากที่สุด เมดเทอร์เป็นคนที่ลึกลับมากที่สุด
     "แน่นอนว่าชั้นรู้ถึงดีพเอ็นด์ด้วย โลกกระจกน่ะจะสะท้อนทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกให้เห็นผ่านกระจกบานหนึ่ง แน่ล่ะว่าตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้น ตัวตนบนโลกกระจกคุมตัวเองไม่อยู่กันแล้ว พวกเขาเริ่มอยากออกมา แต่ตอนนี้มีคนเดียวที่ทำได้คือ.."
     "บานดาน่า...บนโลกกระจกสินะ"คิลเลอร์พูดเบาๆ"ชั้นพอจะเข้าใจแล้วล่ะ นายกำลังจะพูดว่า ยิ่งตัวตนบนโลกนี้ดียังไง ตัวตนบนโลกกระจกยิ่งจะตรงข้ามกันใช่มั๊ย เหมือนบานดาน่า สุภาพ อ่อนโยน แต่โลกกระจกเขาเป็นคนที่ก้าวร้าว บ้าคลั่ง"
     "..อื้อ.."บุนพยักหน้า"ที่ชั้นไม่อยากพูดเพราะว่า...พวกนายต้องไปที่นั่นแน่ๆ"
     "...กระจกนั่นอยู่ไหนแล้วล่ะ"ดีดีดีพูด"ชั้นต้องเห็นให้ได้ว่าอยู่ไหน พวกเราสัญญาเลยว่าจะไม่เข้าไปเด็ดขาด"
     "ชั้นก็เหมือนกัน"เมต้าไนท์เดินไปมา
     "ทำไมต้องการให้เราเห็นความจริง..ความจริงอะไรกัน"คิลเลอร์มองที่ดาบที่เขาเช็ดด้วยสายตาที่อ่านไม่ได้ว่าอารมณ์ไหน
     บุนมองที่คิลเลอร์ก่อนที่ทุกคนจะรู้ว่าบุนจ้องนานแค่ไหนเขาก็รีบหันหนี และบอกว่ากระจกนั้นอยู่ที่ห้องแถวห้องของผู้อำนวยการในตอนนี้ ผู้อำนวยการเป็นคนที่ตัวเล็ก ชาวฮู เขาย้อมผมของเขาให้เป็นสีม่วง ใส่สูทตลอดเวลา มีข่าวลือว่าลูกสาวของเขาหายตัวไปตั้งแต่สิบปีก่อน
     "นี่เหรอ..ห้องของผอ.ฮอล์แมน.."เคอร์บี้พูดพึมพัม เขาเห็นจากกระจกใสที่ติดหน้าห้อง"นั่นเลขาส่วนตัวเขานี่"
     เลขาส่วนตัวของเขาชื่อว่าซูซี่ เป็นชาวฮูเหมือนกัน เธอเป็นสุดยอดมนุษย์เงินเดือนอย่างแท้จริง ทำทุกอย่างเพื่อฮอล์แมนราวกับว่าตายแทนย่อมได้ นอกจากเธอจะเป็นเลขาส่วนตัวของเขาแล้ว เธอยังเป็นหัวหน้าฝ่ายในหน่วยงานหนึ่งขององค์กรไม่แสวงผลอีกด้วย เรียกได้ว่าความสามารถรอบด้าน
     อีกคนที่อยู่ในห้องนอกจากฮอล์แมนและซูซี่ ก็คือพี่ชายของเมต้าไนท์และคิลเลอร์ กาลาทิค ทั้งสามดูเหมือนจะคุยเรื่องอะไรซักอย่างอยู่ สีหน้าจริงจัง เรื่องนี้ทำให้สองพี่น้องฝาแฝดสงสัยเป็นอย่างมาก ทำไมพี่ชายของพวกเขาถึงมาที่นี่ด้วย แถมคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนราวกับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่นานนักกาลาทิคก็เดินออกมา เขาแสดงท่าทีตกใจเมื่อเห็นน้องชายของเขาและเพื่อนๆยืนอยู่ตรงประตู
      "อ๊ะ!..ว..ว่า..ว่าไง! เมตี้ คิล! สบายดีมั๊ย เป็นไงบ้าง"
      "สบายดีครับ แต่ว่าพี่มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ"เมต้าไนท์ถามพี่ชายคืน กาลาทิคยืนนิ่ง ก่อนที่จะพูดต่อ
     "พี่ก็มาหาคุณฮอล์แมนนี่แหล่ะ พอดีว่าทางคุณฮอล์แมนเขามีส่วนร่วมกับองค์กรวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของตำรวจสากลอยู่น่ะ พี่เลยมาคุยธุระให้"กาลาทิคสบัดมือไปมา"พี่ต้องไปแล้วล่ะ คนอื่นเขารอพี่อยู่ที่ข้างล่าง เดี๋ยวเขาจะว่าพี่เอา ไปก่อนนะ.."
     กาลาทิคเดินออกไป ไม่นานผอ.ฮอล์แมนก็เดินออกมาเจอกับพวกเขา
     "อ้าวๆ พวกเธอเด็กปีหนึ่งนี่! เข้ามาๆ! นั่งคุยกับชั้นก่อนก็ได้!"
     พวกเขาเดินเข้าไปด้วยสีหน้างุนงง พวกเขาไม่ได้จงใจจะเดินเข้าไป เพียงแค่ผ่านมาเท่านั้น
     "ไม่ต้องเรียกชั้นว่าผอ.ก็ได้ เรียกครูไม่ก็ลุงเถอะ ฮ่าฮ่า"ฮอล์แมนยิ้มแย้ม เขาบอกให้ซูซี่เอาแก้วชามาให้พวกเขาทั้งหกที่นั่งตรงข้ามบนโซฟาหนังสีดำหรู โต๊ะกลมสีขาว"นานๆทีได้นั่งคุยกับนักเรียนแบบนี้นะเนี่ย"
     "เออ..คือครูครับ..."เคอร์บี้ทักขึ้นมา"ทำไมถึงให้เราเข้ามาครับ?"
     "...พอดีว่าครูมีอะไรจะให้พอดีน่ะ เฉพาะสองพี่น้องฝาแฝดด้วย"เขานั่งลงด้วยท่าสบายๆ"พวกเธอได้ยินจากกาลาทิคแล้วนี่ว่าชั้นทำงานร่วมกับองค์กรวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แล้วพวกเราก็ได้สร้างนี่ขึ้นมา เป็นของต้นแบบล่ะ"
     เขายืนผ้าคลุมสีม่วงกับสีดำให้ดู ก่อนที่จะวางลงบนโต๊ะ
     "มันคือ..."
     "ชั้นต้องขอโทษนะ แต่ว่าเธอกับซูซี่ออกไปก่อน เรื่องนี้มันเป็นความลับระหว่างคนที่เกี่ยวข้องเท่านั้นน่ะ"
     บุนกับซูซี่มองหน้ากัน และก็ยอมเดินออกไปจากห้อง เหลือเพียงแค่เพื่อนห้าคนกับฮอล์แมน
     "...ผ้าคลุมนี่น่ะ เป็นผ้าคลุมพิเศษ เราเรียกมันผ้าคลุมมิติ เวลาที่เราคลุมมัน และเก็บอะไรเข้าไปอย่างพวกเชือก ปากกา มันจะให้ความรู้สึกเหมือนว่าเราไม่เคยมีอะไรอยู่ในนั้นมาก่อน ง่ายๆก็คือจะเข้าสู่สภาวะมิติที่สี่"ฮอล์แมนลดเสียงลง"ชั้นลองให้กาลาทิคลองแล้ว เขาพอใจมากเลยล่ะ แถมยังบอกว่าอยากให้น้องชายเขา อีกอย่างนะ ผ้าคลุมนี่มีแค่สามผืนเท่านั้น สองผืนนี้ชั้นจะให้เธอสองคนตามที่กาลาทิคขอ ส่วนอีกผืนนั้นน่ะเป็นของพี่ชายพวกเธอ"
     "จะ...จะดีเหรอครับ? ให้ของแบบนี้กับพวกเรา..."คิลเลอร์มองตาฮอล์แมน
     "เอาเถอะๆ ยังไงพวกเราก็จะทำออกมาเรื่อยๆ แล้วก็นะ ผ้าคลุมนี่มีจุดพิเศษอยู่ จุดที่ทำให้ตกใจได้มากเชียวล่ะ พวกเธอลองคลุมดูแทนผ้าคลุมอันนั้นก่อน แล้วลองสบัดให้ดูนะ สบัดแรงๆเลยน่ะ"
     ทั้งคู่เดินเข้าไปที่ห้องข้างๆ พวกเขาไม่ต้องการให้บุนและซูซี่ที่แอบมองจะกระจกแทน ไม่นานฮอล์แมนก็เดินมาเอาม่านปิด พวกเขาจึงอดดูต่อ
     "สบัดแรงๆเหรอครับ?"เมต้าไนท์ถามย้ำอีกที"แบบนี้เหรอครับ?"
     "ไม่ๆ แรงกว่านั้นอีก"ฮอล์แมนบอก ไม่นานนักทั้งคู่ก็สบัดให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และต่างคนต่างตกใจ
     ผ้าคลุมที่พวกเขาคลุมกันอยู่กลายเป็นปีกค้างคาวติดที่หลังของพวกเขา ปีกสีม่วงเข้มกับสีเทานั้นดูราวกับว่าสามารถหลุดได้ตลอดเวลา ไม่มีความรู้สึกของความเป็นเนื้อผ้า แต่เป็นปีกจริงๆ
     "ผ้าคลุมนี่เวลาสบัดแรงๆไปด้านหลังมันจะเปลี่ยนเป็นปีกได้น่ะ เทคโนโลยีขั้นสูงมาก--มากจนชั้นยังกลัวเลย"ฮอล์แมนอธิบายเสริม"ชั้นไว้ใจพวกเธอมากนะถึงให้ หวังว่าจะใช้ในทางทีดีล่ะ ผ้าคลุมนี้มีมูลค่ามหาศาลเชียว"
     "สุด..สุดยอด..."ดีดีดีเดินเข้าไปใกล้คิลเลอร์"ปีกจริงชัดๆ"
     "แน่นอนว่าต้องบินได้ล่ะ มันมีผังชิพรับข้อมูลจากประสาทติดอยู่ มันจะรับข้อมูลจากสมองพวกเธอส่งมายังปีกนี่ ถ้าอยากจะบินมันก็บินได้ตามใจนึก"ฮอล์แมนพูดต่อก่อนที่บานดาน่าจะเอ่ยปากถาม"ถ้าผ่อนมันลง มันจะกลายเป็นผ้าคลุมเหมือนเดิม"
     "แต่ว่า...พวกผมคงรับไว้ไม่ได้หรอก..."เมต้าไนท์พูดขึ้นมา เขาผ่อนปีกลงเป็นผ้าคลุมเหมือนเดิมก่อนที่จะถอดพับคืนให้ฮอล์แมน เขาวางลงบนโต๊ะ สวมผ้าคลุมสีน้ำเงินม่วงผืนเดิมของเขา คิลเลอร์พยักหน้าและทำตามเมต้าไนท์ ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะรับไว้ เพราะพวกเขามีวาพ์บสตาร์ที่สามารถพาบินไปไหนต่อไหนอยู่แล้ว อีกทั้งของที่ให้มายังมีค่ามหาศาลรวมทั้งเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงมาก ถ้าพวกเขาจะใส่คลุมเดินไปมามันจะเสียของ ยังไม่รวมว่าพวกเขาเป็นคนขี้เกรงใจด้วย
     "เอาน่าๆ รับไปเถอะ ชั้นรู้ว่าอนาคตพวกเธอต้องได้ใช้มันแน่ๆ"ฮอล์แมนเดินมาลูบหัวคิลเลอร์ เขาทำท่าทีไม่พอใจนิดๆ"ไม่จำเป็นต้องใส่หลังจากนี้เลยก็ได้"
     "ไม่ดีหรอกครับ"คิลเลอร์พึมพัม
     "เอ๊ะ พวกเธอนี่ขี้เกรงใจกว่าที่ชั้นคิดไว้เยอะมากเลยนะ พวกเขาเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?"
     ฮอล์แมนหันมาทางเคอร์บี้ที่ยังยืนดูผ้าคลุมด้วยสายตาที่ชื่นชม อะไรที่ทำให้เทคโนโลยีก้าวกระโดดขนาดนี้กัน
     "อ๊ะ...อืม...นิสัยเลยล่ะครับ"เคอร์บี้ยิ้มแห้งๆพร้อมกับหัวเราะเบาๆ เขาละสายตาจากผ้าคลุมไปทางบานดาน่า
     "...แต่...ชั้นว่านายรับไว้ดีกว่านะ..."
     เคอร์บี้พูดเสียงเบาจนแทบจะกระซิบ น้ำเสียงจริงจัง ทุกคนยืนเงียบ หันมามองเคอร์บี้"อนาคตมันไม่แน่นอนหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น วาพ์บสตาร์อาจจะหาย วาพ์บสตาร์อาจจะไม่ตอบสนองอีกต่อไป หรือแม้กระทั่งพวกนาย....อาจจะตาย"
     คำสุดท้ายที่เคอร์บี้พูดนั้นเปี่ยมไปด้วยความน่าขนลุกราวกับว่าเป็นเสียงของฆาตกรโรคจิตพูด เขายิ้มเล็กๆ ก้มหน้าลง ก่อนที่จะหันหลังไปมองมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง เขาหยิบขึ้นมา
     "ใช่...ใช่...ชั้นน่ะ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลยนะ----ฮ๊าาาาาาา!!!!!!!"
      เคอร์บี้รีบวางมีดลง เขาตกใจมาก และหันกลับมา
     "มะ...เมื่อกี๊....ชั้นพูดอะไรแปลกๆ....ใช่มั๊ย?"
     เขาดูลนลานราวกับว่าเขาไม่ตั้งใจจะพูดแบบนั้น
     "...ใช่"บานดาน่าลงเสียงลง"เคอร์บี้ดูแปลกไปทันทีหลังจากที่บอกว่าให้เมต้าไนท์กับคิลเลอร์รับผ้าคลุมไว้...น้ำเสียง...เหมือนเคอร์บี้กำลังจะ...เอ่อ...เป็น...เอ่อ...โรคจิต...น่ะครับ...."
     "...."เคอร์บี้ยืนนิ่ง ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้"ชั้น...คุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว...."
     "คุมตัวเอง?"ฮอล์แมนเดินมานั่งลงข้างๆ"เธอหมายถึง..."
     "...ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวผมมีสองคน...ครับ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่บางครั้งผมก็เผลอหัวเราะคนเดียว เผลอคิดอะไรที่มันแย่ๆ เผลอหยิบมีดมา..."
     คิลเลอร์ยืนนิ่ง เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเคอร์บี้ แต่เขาเลือกที่จะยังไม่บอกตอนนี้ ฮอล์แมนบอกให้เขาสงบจิตใจเอาไว้ ก่อนที่จะให้กลับบ้าน เมต้าไนท์กับคิลเลอร์ไม่สามารถปฏิเสธผ้าคลุมที่ฮอล์แมนให้มาได้เลย ส่วนบุนกับซูซี่ก็ถูกฮอล์แมนเรียกไปบ่นเรื่องแอบดูก่อนหน้านี้ สรุปว่าวันนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้เข้าใกล้กระจกมิติแม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือพฤติกรรมแปลกๆของเคอร์บี้
     "พักนี้ชั้น...เหมือนคนจิตหลอนใช่มั๊ย"เคอร์บี้พูดกับเพื่อนของพวกเขา"บางครั้งชั้นยังตกใจว่าตัวเองทำอะไรลงไป ครั้งนึงเหมือนชั้นจะไม่รู้ตัวว่าชั้นทำอะไรลงไป รู้ตัวอีกทีชั้นก็เห็นมีดในมือพร้อมกับตุ๊กตาตัวเก่าๆที่หัวขาด ตัวขาดจนนุ่นกระจายอยู่ตรงหน้าแล้ว...นายคิดว่าชั้นคงบ้าใช่มั๊ยล่ะ"
     ทุกคนตกใจที่เคอร์บี้บอก คิลเลอร์ถอนหายใจและบอกเบาๆระหว่างทาง
     "เคอร์บี้..มันเป็นไปได้สองอย่างคือจิตหลอนกับบุคลิกที่สองของนาย"คิลเลอร์หยิบกระดาษกับปากกาออกจากกระเป๋า พยายามเขียนไปเดินไป ยื่นให้เคอร์บี้ดู
     "ส่วนลึกจิตใจนายอาจจะถูกอะไรซักอย่างกระตุ้นให้ทำแบบนั้นขึ้นมาเพื่อระบายความเครียด ด้วยวิธีอะไรก็ได้ นายไม่รู้ตัวหรอกว่าทำอะไรลงไปกันแน่ แต่สบายใจได้ นานๆทีพฤติกรรมแบบนี้จะออกมา"
     "แต่วิธีระบายของชั้นคือหยิบมีดมานะ ถ้าเกิดว่า..."เคอร์บี้มองดูมือตัวเอง
     "...ชั้นคิดอีกอย่างว่ามันมีอีกกรณีนึง"คิลเลอร์พูดขึ้นอีกครั้ง"ตัวนายบนโลกกระจก...อาจจะทำอะไรซักอย่างแล้วมันมาเชื่อมกับจิตใจนายรึเปล่า"
     ทุกคนเดินมายังประตูหอ เปิดเข้าไป วางของ พร้อมนั่งลงในห้องรวม
     "เชื่อม..ต่อกัน?"บานดาน่าทวนคำ"หรือว่า..ที่ผมไม่สบายในวันนั้น ตัวผมบนโลกกระจก..."
     "อื้อ เขาต้องทำอะไรซักอย่างแน่ๆล่ะ ไม่แน่ตัวเคอร์บี้บนโลกกระจกอาจจะทำอะไรที่ส่งผลโยงมาที่เคอร์บี้จนแสดงออกมาแบบนี้"คิลเลอร์มองที่เคอร์บี้ เคอร์บี้พยายามจะตั้งสติอีกครั้ง
     'ตัวชั้นบนโลกกระจกพยายามจะคุมชั้นงั้นเหรอ?'
     "แสดงว่า ตัวเคอร์บี้ที่อยู่บนโลกกระจกพยายามจะคุมเคอร์บี้เหรอพี่"เมต้าไนท์ถามขึ้นมา
     "แต่ถ้าพยายามคุมล่ะก็ ไม่แน่ตัวของพวกเราแต่ละคนอาจจะพยายามคุมเราเองก็ได้"ดีดีดีเอามือเท้าคาง สีหน้าเครียด"ดีไม่ดี เราเองอาจจะทำอะไรแปลกๆตอนกลางคืนด้วยซ้ำ เหมือนบานดาน่าเมื่อคืนนี้"
     "เอ๋?"บานดาน่าทำหน้าสงสัย
     "เมื่อคืนช้้นได้ยินเสียงนายร้องโวยวายเบาๆในห้อง ชั้นนึกว่านายยังไม่นอนแล้วทะเลาะกับเพื่อนตอนคุยโทรศัพธ์เรื่องงาน.."ดีดีดีพูดอีกครั้ง บานดาน่าตกใจเอามือปิดปาก
     "ไม่จริงน่า...เมื่อคืนผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ผมตั้งใจจะถามด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนดีดีดีทำอะไรรึเปล่า เพราะได้ยินเสียงมือทุบโต๊ะไปมาตลอด"
     ทุกคนเงียบอีกครั้ง ก่อนที่จะหันมาทางเมต้าไนท์กับคิลเลอร์
     "แสดงว่า..."เคอร์บี้พูด"ทุกคน...ก็เริ่มมีอาการสินะ"
     "ไม่ใช่จิตหลอน ไม่ใช่ตัวตนที่สอง"
     "อื้ม...ทุกคนเริ่มโดนตัวเองบนโลกกระจกคุมแล้วสินะ"
     "พวกนายสองคนล่ะ ได้ยินอะไรแปลกๆกันเองรึเปล่า รึว่าเผลอทำอะไรแปลกๆกัน"ดีดีดีถามฝาแฝดทั้งสอง พวกเขาส่ายหน้าทั้งคู่
     "พวกชั้นก็แปลกใจนะ เท่าที่ฟังมาพวกชั้นก็ต้องโดนด้วยแล้ว แต่เมื่อคืน..ไม่สิ ที่ผ่านมาพวกชั้นก็ไม่มีอะไรแปลกไปเลย ปกติด้วยซ้ำ.."คิลเลอร์พูด
     "ต้องมีอะไรกับตัวพวกเราบนโลกกระจกแน่เลย"เมต้าไนท์มองพี่ชายตนเอง เขาพยักหน้าตาม
     "ชั้นว่าคืนนี้เราต้องแอบเข้าไปในโรงเรียนแล้วล่ะ ถ้าไม่รีบเข้าไปในโลกกระจกเพื่อจัดการกับปัญหาพวกนี้ ไม่แน่ว่าซักวันพวกเขาจะทำร้ายพวกนายทางอ้อมก็ได้"คิลเลอร์ดึงดาบขึ้นมา ดูหน้าที่มีหน้ากากปิดผ่านเงาบนดาบที่กระทบกับแสงไฟ"รีบจัดของที่จำเป็นเถอะ เราไม่รู้ว่าจะไปนานเท่าไหร่ ขอบคุณพระเจ้าที่หลังจากวันนี้ห้าวันจะเป็นวันหยุด"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น