Translate

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

Kirby's story of star ep 9 : ความสับสน

     "โอ้ย!"
     เคอร์บี้ร้องขึ้นมาตอนที่ผมกำลังนั่งทานขนมปังที่เขายกมาให้อยู่ในร้าน เขาเป็นคนที่ล้างบาปริษยาให้ผม ผมต้องขอบคุณเขาจริงๆ ไม่งั้นผมอาจจะต้องอยู่ในกระจกตลอดไปแน่ แต่ผมก็ต้องขอโทษเขาด้วย ที่เขาเกือบจะตาย
     เพราะผมยึดติดกับเด็กผู้หญิงคนนั้นมากไป ผมเลยต้องทำให้คนอื่นพลอยลำบากไปด้วย แย่จริงๆ
     วันนี้ผมมานั่งเล่นที่ร้านนี้ ผมติดร้านดอกไม้ชั่วคราวสองวันเพราะผมอยากจะนั่งทำงานที่โรงเรียนให้มาให้เสร็จ ผมเป็นประธานนักเรียน งานจึงเยอะมากเป็นพิเศษ การบ้านว่าเยอะมากแล้ว งานเอกสารโรงเรียนที่นักเรียนทั่วไปยื่นมาเพื่อส่งผู้อำนวยการอีกทีหนึ่งเยอะยิ่งกว่า
     "มีอะไรรึเปล่าครับ?"ผมเงยหน้าขึ้นมาถามเคอร์บี้
     "เปล่าหรอกๆ ชั้นแค่ปวดหัวหน่อยๆน่ะ"
     ปวดหัวหน่อยๆแต่ร้องโอ้ยขึ้นมาเนี่ยนะ...
     ผมไม่ได้ถามอะไรเขาต่อหรอก ผมนั่งก้มหน้าเซ็นเอกสารของโรงเรียนต่อไป มีคำร้องของเด็กป.3คนหนึ่งเขียนมาแล้วผมก็อดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนั้นเขาเขียนว่า 'อยากให้ผู้อำนวยการหัวไม่ล้าน'
     เอาจริงๆแล้ว ผมเมื่อสมัยตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจหรอกว่าสภานักเรียนลำบากแค่ไหน แต่แล้วเพื่อนๆก็เสนอชื่อผมเป็นประธานนักเรียนเพราะบอกว่าผมมีความรับผิดชอบสูง
     "ไม่เหนื่อยเหรอ เยอะขนาดนี้"
     เด็กชายที่อายุเท่ากันกับผมเดินเข้ามาหา เขาหยิบกระดาษคำร้องแผ่นนึงขึ้นมาอ่าน
     "อะไรเนี่ย? ตั้งลานสเก็ตบอร์ดในโรงเรียน? คิดอะไรกันนะ.."
     เขาวางกระดาษแผ่นนั้นลงและมานั่งตรงข้ามกับผม เขาคือคิลเลอร์ เป็นหนึ่งในคนที่เคอร์บี้ล้างบาปให้เหมือนกันผม ผมเห็นเขาครั้งแรก ผมก็ประหลาดใจว่าเขาใส่หน้ากากกับน้องเขาทำไม แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง
     มีอีกคนหนึ่ง เขาชื่อว่าดีดีดี เป็นลูกคุณหนู เขาก็เป็นคนที่เคอร์บี้ล้างบาปให้ เหมือนจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคิลเลอร์ด้วย
     ส่วนคนน้องของคิลเลอร์ เขาชื่อเมต้าไนท์ เขาอ่อนโยนมาก ค่อนข้างจะซุ่มซ่ามไปหน่อย ตกใจง่ายก็ง่าย แต่โดยรวมแล้วเขาเป็นคนที่น่าจะมีคนรักนิสัยเขาเยอะ
     สุดท้ายคือเคอร์บี้ เขาล้างบาปให้ผม เขาเหมือนเป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจังในบางครั้ง เขาเป็นคนที่หัวเราะง่าย ร่าเริง แต่หลังจากที่เพื่อนคนอื่นบอกว่า คนที่ว่าทอยบอกว่า อนาคตเขาจะเลวร้าย เขาก็ไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่
     "อื้ม ผมก็เหนื่อยบ้างน่ะครับ แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นา งานของสภานักเรียนทั้งที" ผมตอบไปยิ้มไป สายตาของคิลเลอร์ดูจะจริงจังขึ้นมาทันที
     "แต่คำร้องขอแบบเมื่อกี๊มันก็เกินไปนะ..."เขาพูด"เด็กกันไปรึเปล่า.."
    "ผมว่านะ คิลเลอร์เองรึเปล่าที่เป็นผู้ใหญ่ไป?" ผมเงยหน้าขึ้นมามองเขา"บางทีถ้าเราลองมองมุมของเด็ก เราก็ได้เห็นอีกมิติของสิ่งที่เรามองนะครับ"
     "อึก...อะไรกันล่ะ...ชั้นก็มองมุมปกติของชั้นนะ"
     คิลเลอร์หันไปอีกด้านหนึ่ง ท่าทางเหมือนเขินๆที่จับได้สินะ ผมหัวเราะ คิลเลอร์จึงหันมาอีกรอบ
     "หะ...หัวเราะอะไรกันเล่า!"
     "เคอร์บี้!"
     เสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากครัวของร้านนี้ เสียงนั้นเป็นเสียงของบุ๊ค คนที่ผมเพิ่งรู้จักได้ไม่นานอีกคน
     "เป็นอะไรไปน่ะ เคอร์บี้!"
     ผมกับคิลเลอร์รีบช่วยเก็บเอกสารทั้งหมดและผมขอเข้าไปในครัว เคอร์บี้นอนล้มอยู่ที่พื้นครัวตรงนั้น สีหน้าเขาดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ บุ๊คพยุงเขาขึ้นไปชั้นสอง พาเขานอนบนเตียง และหาน้ำเกลือแร่มาป้อนให้เขา
     "ชั้น...ยังไหวน่า..."
     เคอร์บี้บอกกับบุ๊ค แต่แรงของเขาแทบไม่เหลือแล้ว
     "นายน่ะอย่าฝืนเลย หักโหมตัวเองมาสามวันติดๆแล้วนะ พักบ้างเถอะ"บุ๊คป้อนเกรือแร่ให้เขาอีกครั้ง และเอาเจลลดไข้แปะหน้าผาก"อีกอย่าง นายมีไข้สูงด้วยนะ ไปหาหมอมั๊ย?"
     "ไม่เป็นไรๆ ...ชั้นไหวจริงๆนะ...."
     ยังไงเขาก็จะยังฝืนไปทำงานต่อทั้งๆทีร่างกายเขาไม่ไหวแล้ว ผมก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน สุดท้ายเขาก็หลับไป ทุกคนจึงเดินออกมาพร้อมกัน
     "ช่วงนี้เคอร์บี้ไม่สบายง่ายเอามากๆเลยนะ"คิลเลอร์พูดขึ้นมาก่อน"ชั้นล่ะเป็นห่วงยิ่งกว่าห่วงแล้ว รึว่าเป็นเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมา"
     "ชั้นว่าไม่น่าจะเกี่ยวกันนะ เขาโหมตัวเองทำงานหนักเกินไปหน่อยรึเปล่า"บุ๊คทักขึ้นมา
     "แต่ผมก็รู้สึกอย่างเดียวกันกับคิลเลอร์นะครับ แถมอีกอย่าง....ผมรู้สึกว่าช่วงนี้มันต้องมีเหตุการณ์ซักอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้นหรอก"
     ผมพูดตามลางสังหรณ์ของผม แม้ว่าจะไม่ได้รู้จักกันมานาน แต่ผมรู้ว่าเคอร์บี้เขาเริ่มแปลกๆตั้งแต่ช่วงที่เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนที่สามารถล้างบาปได้แน่ๆ
     ..........
     "งั้น ผมกลับก่อนนะครับ"บานดาน่าพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพกับทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น หันหลังกลับไป และขึ้นรถเมย์ที่มาถึงพอดี คิลเลอร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสองกำลังมองรถคันนั้นอย่างใจลอย และเขาเห็นร่างหนึ่งลงมาจากรถคันนั้นด้วย ร่างที่เขาคุ้นยิ่งกว่าคุ้น บุคคลที่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อน แต่เขาก็ส่ายหัวไปมา
     "จะเป็นไปได้ยังไงเล่า"
     เขาเดินไปที่ห้องที่เขาพัก เห็นเมต้าไนท์ที่ยังคงนอนหลับปุ๋ยบนที่นอนนอนอยู่ หน้ากากของเมต้าไนท์หลุดออกมานิดๆทำให้พี่ชายฝาแฝดของเขาเห็นปาก และกำลังละเมอเบาๆว่า พี่ครับ พี่ครับ
     คิลเลอร์ส่ายหัวอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาหัวเราะเบาๆด้วย เขามีน้องชายที่น่ารักแบบนี้ จะไม่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ให้เขาได้ยังไงล่ะ ถ้าไม่เข้มแข็งแล้วน้องเขาจะรู้สึกยังไง เขาเดินเข้าไปเอาหน้ากากปิดให้มิดอีกครั้งหนึ่ง ลูบหัวน้องชายด้วยความอ่อนโยน และฮัมเพลงที่เขาเคยได้ยินมาให้ฟังเบาๆ
     "เฮ้ๆ เสียงนายก็ดีใช่ย่อยเหมือนกันนะ..."
     คิลเลอร์สดุ้งทันที เขาได้ยินเสียงอุ้มยืนอยู่หน้าห้องของเขา ทันใดนั้นเขาจึงโวยวาย
     "มาแอบคนอื่นฟังเนี่ยเสียมารยาทสุดๆนะ!"
     "แต่เสียงนายมันก็ดีจริงๆนี่นา"อุ้มยังคงต่อร้องต่อเถียงไป คิลเลอร์จึงหันหน้าหนีทั้งๆทีอุ้มไม่ได้อยู่ในห้องด้วย
     "ขอบใจ..."
     "อ้อ มีคนมาหาพวกนายด้วยนะ คุณฟูมุก็ตามมาด้วย เห็นว่าเป็น...ไม่บอกดีกว่า"
     คิลเลอร์หันกลับมาอีกรอบ
     "ใคร?"
     "เอาน่าๆ ปลุกเมต้าไนท์เร็วๆเข้า แล้วพาเขาไปชั้นสองนะ"อุ้มบอก"เคอร์บี้นอนอยู่เดี๋ยวชั้นจะคอยขึ้นมาดูให้"
     "เมต้าไนท์ ตื่นได้แล้วนะ มีคนมาหาเรา"คิลเลอร์ปลุกเมต้าไนท์เขาลุกขึ้นมาอย่างสลึมสลือ
     "...ใครครับพี่..."
     "ไม่รู้สิ แต่เห็นอุ้มบอกว่ามากับคุณฟูมุ น่าจะไม่มีอะไรหรอก"
     "อือ...ให้ผมไปล้างหน้าก่อนนะ...."
     ..........
     "พ...พี่....?!"ชั้นพูดขึ้นมา จะไม่ตกใจได้ไง ในเมื่อคนที่ยืนหน้าชั้นกับเมต้าไนท์ เป็นพี่ชายที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมานานมาก เมต้าไนท์วิ่งเข้าไปหาพี่ 'คาร์ลาทิค' อื๋อ? ใช่ พี่ชั้นชื่อคาร์ลาทิค ชื่อแปลกพอๆกับเมต้าไนท์นั่นแหล่ะ เพราะว่าพ่อของพวกเราตั้งให้ ส่วนชื่อชั้นแม่เป็นคนตั้งให้ ยังดีขึ้นมาหน่อย
     "เป็นไงบ้างน้องรักของพี่ พี่ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะ แล้วเรื่องที่คนล้างบาปนั่น คุณฟูมุเล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว โชคดีจริงๆนะทั้งคู่...เอ๊ะ คิล?"
     พี่เรียกชั้นว่าคิล ส่วนเมต้าไนท์ก็เรียกว่าเมตี้ ชื่อเลยฟังดูตลกไปทันที เมต้าไนท์ดูเหมือนจะไม่ชอบให้เรียกเมตี้เท่าไหร่ด้วยสิ
     "อะไรล่ะพี่"ชั้นตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจ แต่ชั้น...
     "ไม่ต้องมาทำเป็นฟอร์มเลยนะ มานี่!"พี่ลากชั้นเข้าไปกอดกับเมต้าไนท์ เมต้าไนท์กอดคืนทันที ชั้นยิ่งไร้อารมณ์เข้าไปใหญ่ ไม่อยากให้ทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นนี่นา มัน...มันน่าอายออก....
     "พี่ครับ ทำไมถึงได้มาล่ะ?"เมต้าไนท์ถามพี่ พี่บอกแค่ว่าคิดถึงพวกเรา เลยขอคุณฟูมุมาหา
     "ตอนนี้พี่กำลังจะกลับไปที่นั่นน่ะ พี่ต้องกลับไป แต่ไม่ใช่ในฐานะคนของกลุ่มนั้น พี่ไปในฐานะของตำรวจสากลนะ"
     "เอ๋? ตำรวจสากล? อย่าบอกนะว่าพี่...."ชั้นทวนคำนั้น"พี่ทำงานกับคุณฟูมุใช่มั๊ย"
     "ปิ๊งป่อง"พี่เอามือมาลูบหัวชั้น ชั้นพยายามปัดเต็มที่ "เก่งจริงๆเลยนะ จะว่าไปแล้ว คิลเคยทำอะไรที่มันพลาดบ้างมั๊ยเนี่ย"
     "โธ่ ผมไม่ใช่เมต้าไนท์นะ"
     "พี่ครับ!" เมต้าไนท์ปัดทันที"ใจร้ายกันไปแล้ว..."
     "พี่เอาช็อคโกแล็ตร้านดังมาให้ด้วยก่อนไปด้วยนะ พี่ยังจำได้ว่าคิลชอบนี่นา"
     "พี่! ขอบคุณครับ!!...อ๊ะ"
     แย่แล้ว เผลอออกอาการไปได้ คนอื่นที่อยู่ในห้องทั้งบุ๊ค คุณฟูมุ รู้กันหมดเลย....หว๋าาาาา
     "โธ่ นายจะอายเรื่องแค่นี้ไปกันทำไม ผู้ชายชอบช็อคโกแล็ตมีเยอะแยะ"บุ๊คบอกชั้น แต่ยังไงมันก็...
     "ยังไงพี่ก็ต้องไปแล้วนะ ลาก่อน"พี่โบกมือลาพวกเรา"อ้อ อีกอย่างนะ...จงระวังทุกการกระทำของเขาคนนั้นด้วยล่ะ...ไม่งั้นชะตาของโลกนี้อาจจะเปลี่ยนไปได้เลยนะ..."
     "เอ๋?"ชั้นทวน เปลี่ยนไปเลยงั้นเหรอ? หมายความว่าไงกันนะ แล้วเขาคนนั้นคือใครล่ะ? เขามีผลต่อโลกขนาดนั้นเชียวเหรอ?
     ชั้นกับเมต้าไนท์เดินไปส่งพี่ที่หน้าร้าน และเดินกลับเข้ามา แม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่มันก็รู้สึกดีใจยังไงก็ไม่รู้ดีนะ
     ไม่ทันที่ชั้นจะเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อเอาถุงใส่กล่องช็อคโกแลตไปทิ้ง ก็มีเด็กหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน เธอดูอายุจะน้อยกว่าชั้นไม่มาก ติดโบว์สีเหลืองด้านหลัง เป็นสีที่ตัดกับตัวสีเขียวอ่อนของเธออย่างกลมกลืน มีรอยยิ้มที่ดูสดใสแต่ก็เต็มไปด้วยความไร้เดียงสา...
     น่ารักจังแฮะ...
     น..นี่ชั้นคิดอะไรอยู่เนี่ย! ไม่เอาๆๆ! อย่าไปคิดเรื่องพวกนี้สิ!
     "เอ่อ..ขอโทษนะคะ พอดีว่าหนูมาหาพี่เคอร์บี้น่ะค่ะ หนูชื่อมิโดริ พี่เค้าอยู่มั๊ยคะ"
     มิโดริ..ชื่อของเธองั้นเหรอ มาหาเคอร์บี้ด้วย น้องสาวเขารึเปล่านะ
     "อื้อ เคอร์บี้เค้าอยู่นะ แต่ว่าเขาไม่สบายน่ะสิ.."เมต้าไนท์ตอบ มิโดริพยักหัวให้ และหันมาทางชั้น
     "พี่เป็นเพื่อนของพี่เค้าเหรอคะ"เธอถามชั้น"พี่เค้า...ทำอะไรแปลกๆรึเปล่าคะ"
     ชั้นลังเลว่าถ้าตอบตามความจริงไปมันจะส่งผลเสียให้เขา ชั้นจึงตอบเลี่ยงๆเพื่อไม่ให้เธอต้องรู้ความจริง
     "มะ..ไม่มีอะไรแปลกๆหรอกนะ..แหะๆ.."ชั้นหัวเราะแห้งๆกลับเกลื่อน เหมือนเธอจะไม่สงสัยอะไรแม้แต่น้อย
     "งั้นก็สบายใจหน่อยนะคะ! ฮิๆ"
     น..น่ารักไปแล้ว..
     เฮ้ย! คิดอะไรของเราอีกแล้วเนี่ย! อื๋อ....
     "ใครมาเหรอ?" บุ๊คเดินออกมา
     "หนูเป็นน้องสาวของพี่เคอร์บี้ ชื่อมิโดริค่ะ"มิโดริแนะนำตัวอีกครั้ง"แต่เห็นบอกว่าพี่เค้าไม่สบาย หนูก็เริ่มเป็นห่วงนิดๆซะแล้วสิ"
     "งั้นมิโดริก็ไปหาพี่เค้าสิ เผื่อพี่เค้าจะร่าเริงขึ้นหน่อย นอนซมมานานพอควรอยู่นะ"บุ๊ครีบพามิโดริขึ้นไปบนบ้าน ชั้นกับเมต้าไนท์ที่ไม่มีอะไรแล้วจึงเดินไปหลังร้านต่อ
     ทำไมความรู้สึกนี้มัน...ทำไมใจมันเต้นแรงนะ....หวังว่าเมต้าไนท์จะไม่จับได้นะ
     ว่าชั้นเริ่มชอบเด็กคนนั้นเข้าซะแล้วสิ...
     บ้าจริงเชียว เรื่องแค่นี้ก็มาคิดมาก ทุกวันนี้มีแต่เรื่องที่ฝ่าอีกเยอะ มัวเอาแต่เสียเวลามาคิดเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาดนะ!
     ..........
     "อ๊ะ..มิโดริ...."เคอร์บี้พูดเสียงอ่อนเบา ไร้แรง"มาได้ไงล่ะ...."
     เคอร์บี้ค่อนๆพยุงตัวเองขึ้นจากท่านอนมานั่งบนเตียงแทน สีหน้าเขาไม่สู้ดีนักเพราะพิษไข้ที่สูง เจลลดไข้ที่อุ้มเอามาแปะหน้าผากของเขานั้นกำลังจะแห้ง ข้างๆเตียงมีถาดอาหารวางเอาไว้ ในนั้นมีชามข้าวต้ม น้ำผลไม้ ยาลดไข้ และลูกอมจำนวนหนึ่งเนื่องจากเขาขาดน้ำตาลด้วย
     "พอดีหนูมาทำธุระกับแม่น่ะค่ะ แม่เค้ายังอยู่ที่ธนาคาร แม่บอกว่าตอนค่ำนั่นแหช่ะถึงจะเสร็จธุระ พ่อก็ไปสัมนาที่ต่างจังหวัด ถ้าหนูจะอยู่คนเดียวก็ยังไงๆอยู่"ทิโดริอธิบายให้พี่ชายฟัง"ไม่นึกว่าพี่จะมาไม่สบายเอานะเนี่ย"
     "ฮะฮะ พี่ไม่เป็นไรมากหรอก..."เคอร์บี้ยังคงเสียวอ่อนลง"เป็นไงบ้างล่ะช่วงนี้..."
     "ช่วงนี้เหรอคะ?"มิโดริทวนคำถาม"ช่วงนี้ที่เกาะก็แปลกไปนะคะ"
     "แปลก..?"เคอร์บี้พูดขึ้นมา ตัวของเขารู้สึกเริ่มหวั่นๆขึ้น
     "ค่ะ บางทีก็มีอะไรเป็นเงาดำๆมาโผล่ตามห้องเรียนที่โรงเรียนบ้าง จนคนอื่นคิดว่าเป็นวิญญาณเจ้าที่ของโรงเรียน บางทีก็มีคนเสียสติบอกว่าพระเจ้ากำลังจะกลับมาคุมโลกนี้อีกครั้งโผล่ที่ตลาด แต่งตัวคล้ายๆนักวิทยาศาสตร์ บางทีปลาที่ชาวประมงเลี้ยงไว้แถวอ่าวก็พากันตายยกกระชังแบบไม่รู้สาเหตุ บางทีอากาศก็เริ่มแปลกๆ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า มีข่าวว่ามีคนโดนฟ้าผ่าที่เกาะแล้วด้วยนะคะ ล่าสุดก็มีคนมาตามตัวคนในโรงเรียนของเรา บอกว่าต้องเป็นคนใดคนนึงไหนห้องของพี่ที่เป็นคนที่สามารถล้างบาปได้...ตำรวจบอกว่าเขาเสียสติน่ะค่ะ"
     สิ้นสุดที่มิโดริพูด เคอร์บี้ก็นิ่งทันที
     มีคนมาตามตัวคนที่สามารถล้างบาปได้
     มีคนตามหาคนที่อยู่ในห้องของเขา
     มีคนตามหาเขาอยู่
     "...มีอะไรคะพี่"มิโดริสะกิดเรียกพี่ของเธอ ทำให้เขาตกใจทันที
     "อ๊ะ! ขอโทษนะคะพี่"
     เมื่อมิโดริพูดจบ เมต้าไนท์กับบุ๊คก็เดินเข้ามาในห้อง เมต้าไนท์ถือชามาให้มิโดริกับเคอร์บี้ที่นั่งอยู่บนเตียง ส่วนบุ๊คยกโดนัทมาให้มิโดริ
     "ตามสบายเลยนะ ชั้นไม่ได้ว่าอะไรหรอก สูตรพิเศษของร้าน ส่วนชานี่คิลเลอร์เค้าชงเอาไว้ให้ เห็นบอกว่าปรับแต่งสูตรชาทั่วไปนิดหน่อย ลองชิมดูก่อนก็ได้นะ เคอร์บี้ นายก็ดื่มสิ จะได้ดีขึ้น"บุ๊คบอกพวกเขาทั้งสอง มิโดริลองยกดื่มชาทันที
     "อื้ม หอมกลิ่นสดชื่นของทะเลดีจัง ทั้งทีเป็นชาแท้ๆ ฝากบอกพี่คนนั้นด้วยนะคะว่าอร่อยมากค่ะ" มิโดริยิ้ม ส่วนเคอร์บี้ก็ดื่มต่อไปจนหมดแก้วแล้วลงนอนต่อ
     "หนูเอาอันนี้มาให้ดูด้วยนะ เป็นนาฬิกาทราย หนูได้มาจากตลาดที่ไปมาเมื่อเช้า ถูกด้วย ว่าจะเอาไปแต่งบ้านซักหน่อย"มิโดริหยิบนาฬิกาทรายขึ้นมาให้เคอร์บี้ดู สีของทรายนั้นขาวสะอาด ต่างจากสีของแก้วที่หม่นๆ บอกสภาพความเก่าของมันได้อย่างดีว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าสิบปีแล้ว
     "สวยจังนะ.."เมต้าไนท์มองดูนาฬิกาทราย "ชั้นก็อยากได้นะ"
     "มีแค่อันเดียวน่ะค่ะ"มิโดริถุงออกมา พยายามแกะห่อพลาสติกที่ห่อนาฬิกาทรายนั้นไว้"ก็ว่าจะเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดแก้วซักหน่อ...อ๊ายยยยยน!!!!!"
     "ม..มิโดริ?!"เคอร์บี้ร้องถามหาด้วยเสียงที่อ่อนแรงเช่นเคย"มีอะไรงั้นเหรอ"
     "มะ...มีตาของอะไรไม่รู้อยู่...ข้างในนาฬิกานั่น!"มิโดริทำนาฬิกาทรายตกพื้น แต่ทว่าไม่แตก"จะ...จ้องมาที่หนูด้วย!!"
     "ชั้นไม่เห็นนะ ตาฝาดรึเปล่--"
     "หนูไม่ได้ตาฝาดนะ!!!"มิโดริเถียงบุ๊คกลับโดยที่เขายังไม่ทันได้พูดจบประโยค "น...หนูเห็นจริงๆ!"
     ตาที่มิโดริเห็นในนาฬิกาทรายนั้นจ้องมาที่ตาของมิโดริ และมีเงาสีดำออกมาจากในนั้น
     "อะไรน่ะ!"เมต้าไนท์ถอยหลังไปหนึ่งก้าว
     "เหมือน...เหมือนที่เพื่อนที่โรงเรียนว่าไว้เลย! เงาสีดำ...ตาสีแดง"มิโดรินั่งนิ่งไม่ไปไหน เพราะเธอกลัวมาก"ยะ...อย่าทำอะไรชั้นนะ!!!!!"
     สายไปแล้วที่มิโดริโดนเงาสีดำนั้นคลุมตัวเอาไว้ และเงานั้นทำให้มิโดริแปลกไป
     "....ทำไม...ต้องให้อยู่คนเดียวตลอดเลย..."
     "เอ๋?"
     ..........
     ชั้น..ไม่เข้าใจสิ่งที่มิโดริพูด อยู่ๆเธอก็พูดขึ้นมา ให้อยู่คนเดียวตลอดเหรอ
     ชั้นอยากจะลุกขึ้นไปกอดเธอให้เธอตั้งสติไว้ แต่ร่างกายชั้นนั้นไม่ขยับตามที่ใจสั่ง ทำไมเป็นวันที่ดวงแย่อย่างนี้นะ
     อยู่คนเดียวมาตลอด ชั้นไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่เท่าที่รู้ บางวันพ่อกับแม่ก็ออกไปข้างนอก กว่าจะกลับดึกดื่น แถมชั้นกว่าจะกลับด้วยเพราะว่าต้องทำงานช่วยโรงเรียนเรื่องจัดเอกสาร เป็นงานทำโทษ น้องชั้นก็ต้องกลับคนเดียว อยู่คนเดียว บางทีอาจจะเป็นที่ตรงนั้น
     "อยู่คนเดียว....มันเหงานะ...."มิโดริยังคงพูดต่อไป แต่ท่าทีเหมือนจะไม่ทำร้ายใคร "ถ้าเป็นแบบนี้ ตายไปน่าจะดีกว่า..."
     "พะ...พูดอะไร...น่ะ"ชั้นตอบกลับไปทันที"ใจเย็นก่อนสิ..."
     "ไม่เอาแล้ว! จะไม่ทนแล้ว!"น้องสาวของชั้นหยิบนาฬิกาทราย และเอามาที่ชั้น ชูขึ้นเหนือหัว เธอบอกว่า
     "พี่...ขอบคุณทุกอย่างที่ผ่านมานะคะ...แต่หนูคงต้องจัดการพี่ก่อน เพราะว่าพี่ชอบทิ้งให้หนูอยู่คนเดียวอยู่เรื่อย..."
     ทันใดนั้น มิโดริก็เอานาฬิกาทรายมาฝาดที่หัวชั้น แต่ก่อนหน้านั้น เมต้าไนท์ก็รีบเข้ามาดึงเธอออกไปก่อน
     "ตั้งสติไว้สิ! เคอร์บี้รึว่านี่จะเป็นบาปอย่างสุดท้าย ความเดียวดาย"
     เมต้าไนท์ว่ามาก็มีส่วนถูก เพราะเธอเอาแต่พูดว่าอยู่คนเดียว ทั้งที่ไม่ได้อยู่คนเดียว รึว่าเป็นนาฬิกาทรายนั่น จริงด้วย ต้องนาฬิกาทรายอันนั้นแน่ๆ ต้องทำลายมันให้ได้ แต่ชั้น...
     ไม่สิ! เวลานี้จะนอนจมอย่างนี้ไม่ได้แล้ว ต้องอดทนไว้
     ชั้นค่อยๆลุกออกจากเตียง เมต้าไนท์กับบุ๊คช่วยกันรั้งมิโดริไว้ พวกเขาบอกว่าให้ไปตามคนข้างล่าง แต่ชั้นเลือกที่จะไปหาน้องสาว และบอกเธอว่า
     "เอานาฬิกาทรายนี่มาสิ แล้วพี่...จะจบมันเอง"
     ชั้นได้นาฬิกาทรายมาจากเธอ เอาวาพ์บสตาร์ออกมา และขว้างวาพ์บสตาร์ใส่นาฬิกาทรายทันที
     "พี่...จะจบมันเอง พี่บอกแล้ว"ชั้นหันมาทางมิโดริ แต่เธอสลบไปแล้ว เมต้าไนท์กับบุ๊ครีบพาเธอไปนอนบนเตียง ส่วนชั้นก็มานั่งหลับตาอยู่ที่ม้านั่ง เหงื่อออกเยอะมากเลยนะเนี่ย
     "สีหน้านาย...ไม่ดีเลยนะ"เมต้าไนท์หันมาพูดกับชั้น"แล้วทำไมนายถึงเอาวาพ์บสตาร์ขว้างใส่นาฬิกาทรายล่ะ"
     "น้องชั้นน่ะ บางทีก็หัวรั้น ไม่ฟังที่ชั้นพูดน่ะสิ ถ้าเกิดว่าทำลายนาฬิกาทรายแต่ไม่ล้างบาปเธอ เธออาจจะไม่ฟังชั้นก็ได้....ชั้นตัดสินใจขว้างวาพ์บสตาร์ใส่ เผื่อมันจะล้างบาปด้วยเลยได้น่ะสิ...."
     ว่าแล้ว ชั้นก็หมดสติไป ชั้นได้ยินแต่เสียงของเมต้าไนท์พูดกับชั้นก้องไปมาว่า
     นายนี่มันจริงๆเลยนะ
     ..........
     "พะ...พี่ขอร้องล่ะ! อย่าไปบอกใครเรื่องนี้นะ!"เคอร์บี้อาการดีขึ้นแล้ว เขากลับมาพูดได้คล่องเหมือนปกติ"รู้กันแค่นี้แหล่ะนะ แม้แต่พ่อแม่ก็ห้ามบอกเด็ดขาด!"
     "ตะ...แต่ว่า ถ้ามันขนาดนี้แล้ว บอกเขาไปไม่ดีกว่าเหรอคะ"มิโดริทวน
     "เรากลัวคนที่ไม่เกี่ยวกับเราจะโดนลูกหลงไปด้วยน่ะสิ"ดีดีดีพูดผ่านวิดิโอคอล"ถ้าเกิดว่ามีคนรู้มากกว่านี้ พวกเขาไม่ปลอดภัยแน่"
     "ใช่ครับ ผมก็คิดแบบนั้น"บานดาน่าที่อยู่ในวิดิโอคอลเหมือนดีดีดีพูดสนับสนุนเขา"ตอนนี้คนที่รู้เรื่องนี้มีใครบ้างครับ"
     "เท่าที่นับมา มีชั้น บุ๊ค แม่ พวกนายทั้งหกคน พ่อบ้านเอสโซ่ กับคุณฟูมุที่เป็นตำรวจสากล"อุ้มบอก"ทอยกับนนท์ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น"
     "เท่ากับว่ามีรู้กัน 11 คนสินะ..เคอร์บี้ นายต้องกลับไปที่เกาะนายเดือนหน้าใช่มั๊ย"คิลเลอร์ถามเคอร์บี้
     "อื้อ มิโดริ ที่บอกเมื่อเช้าว่ามีเรื่องแปลกๆที่เกาะ..."เคอร์บี้ตอบคิลเลอร์และหันไปทางมิโดริอีกครั้ง
     "ค่ะ มีคนมาตามหาคนที่ล้างบาปได้"มิโดริบอกทุกคนที่อยู่ในห้องนั่งเล่น และหน้าวิดิโอคอล
     "ถ้าอย่างนั้น..นายต้องระวังตัวมากกว่าเดิมสินะ พยายามทำตัวเหมือนคนทั่วไปเข้าไว้ แต่เอาจริงๆมันคงจะยาก"บุ๊คหันมาทางเคอร์บี้
     "ชั้นว่าโอกาสที่กลุ่มนั้นจะจับได้ว่านายเป็น มีตั้งครึ่งเลยนะ"เมต้าไนท์บอก"คนอื่นว่าไงล่ะ"
     "ชั้นไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ทางที่ดี นายควรจะทำตัวธรรมชาติเข้าไว้ อย่างน้อยก็ยืดเวลาเอาไว้จนกว่าตำรวจสากลจะเข้าไปจัดการได้"ดีดีดีพูดต่อ ทุกคนพยักหน้า
     "ชั้น..จะพยายามละกันนะ"เคอร์บี้พูดขึ้นมา"เพราะตอนนี้ชั้นเริ่มสับสนนิดหน่อยแล้วน่ะ.."
     "สับสน?"คิลเลอร์ถาม
     "อ๊ะ เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอกนะ"เคอร์บี้ปัดออกไป เขารู้ดีว่าถ้าพูดออกไป จะทำให้ทุกคนกังวลกับเขามากกว่าเดิมแน่นอน
     หลังจากนั้นไม่นาน มิโดริบอกว่าแม่โทรตามเธอแล้ว เธอจึงขอตัวกลับ พร้อมกับวาพ์บสตาร์สีเขียวอ่อนในกระเป๋าของเธอ เธอบอกจะพยายามไม่ให้แม่เห็น
      ..........
     ชั้น...เริ่มสับสนแล้ว..
     ชั้นเกิดมา...เพื่อมารับเรื่องร้ายๆแบบนี้เหรอ?
     ชั้น..ที่เกิดมาเหมือนคนธรรมดา แต่กลับมีสิ่งที่ไม่สามารถจะแก้ให้พ้นจากมันไปได้..อาจจะตลอดกาล
     ชั้น...ที่เป็นคนที่ไร้ความสามารถ แต่วันหนึ่งกลับได้รู้ทุกอย่างว่าภาระอันหนักอึ้งกำลังจะตกมาที่ชั้น
     ชั้น...เป็นคนที่ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง แต่พระเจ้ากลับเลือกชั้นมาทำสิ่งที่เป็นไปแทบไม่ได้
     อา....เอาสิ แกล้งชั้นสิ จะเอายังไงต่อกับชั้นเหรอ?
      ชั้นเป็นเหมือนหมากเดินของพระเจ้าเลยสินะในตอนนี้
     หมากเดินที่ใช้เป็นตัวแทนของตนเอง และคนที่อยู่รอบข้างชั้นก็มีบาปติดตัว เป็นเหมือนพระเจ้าที่ถูกพระเจ้าจริงๆควบคุม
      ชั้น...ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย
      ในตอนที่ชั้นยังเด็กๆ ชั้นเคยไปภาวนาที่วัดแถวบ้านว่า อยากเป็นคนที่มีความสามารถ ช่วยอะไรสังคมได้
      ฮึ ไม่นึกว่าจะให้ช่วยแบบนี้นี่นา
      ชั้นไม่ได้อยากช่วยแบบนี้ซักหน่อย แค่อยากช่วยแบบคนทั่วไป ไม่ต้องมีพลังอะไร ไม่มีอะไรเด่นมาก
     สิ่งที่ชั้นอยากพูดตอนนี้เหรอ ถ้าให้พูดออกมาแบบถ้อยคำสวยงามก็คงประมาณว่า
     'ตัวชั้นที่อยู่ตรงนี้คงไร้ค่าสินะถ้าเป็นเพียงแค่คนทั่วไปธรรมดาที่อยู่ในสังคมเป็นเพียงแค่คนที่เดินเที่ยวนอนกินไปวันๆ'
      อีกสิ่งที่อยากพูดก็คือ
      'ถ้าชั้นเป็นเพียงแค่คนธรรมดาก็คงไม่อยู่ในสายตาเป็นเพียงแค่คนที่เดินถนนเกิดและตายไปตามกาลเวลาใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นหัวเราะเหมือนคนปกติร้องไห้เหมือนคนปกติทั่วไป'
     แต่คำพูดที่คงจะทำให้เจ็บปวดไปอีกนานคงจะเป็น
      'เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ไม่มีใครมีพลังเหมือนชั้นไม่มีใครที่ทำเรื่องที่ไม่น่าเชื่อนี้ได้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะเหมือนเพราะชั้นเป็นคนเดียวที่ถูกเลือกจากพระเจ้า'
     ถึงจะเป็นคำยกย่อง แต่มันก็เป็นคำที่จะทำให้ใจชั้นนั้นเจ็บมาก ใช่สิ ชั้นก็แค่คนเดียวที่ทำได้
     ทั้งที่อยากจะเป็นคนทั่วไปแท้ๆ
     อยากจบมันตรงนี้จัง...
    
    
    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น